“ 9 เดือนยุบสภา แต่…”

             เป็นธรรมดาอยู่เองที่ฝ่าย นปช. เสื้อแดงจะต้องประกาศมาตรการกดดันขึ้นสูงขึ้นไปอีกเฮือกหนึ่ง ภายหลังเมื่อการเจรจากับรัฐบาล โดยถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ 2 รอบ ไม่ได้ผลตามที่ตั้งธงไว้

          หลายฝ่ายชื่นชมต่อความพยายามและความริเริ่มสร้างสรรค์ที่สามารถจัดให้มีการเจรจานัดหยุดโลกที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ สาธารณชนทั่วไปมีโอกาสได้เห็นและเปรียบเทียบระหว่างหลักคิด ข้อมูล เหตุผล และบุคลิกท่าทีของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งถูกสปอตไลท์จับภาพ และถูกเทคโนโลยีสื่อสารยุค HD ขยายอย่างคมชัดจนเห็นขุมขนทางความคิด ซึ่งต่อไปจะปกปิดบิดเบือนกันได้ยากขึ้น แต่ฝ่ายที่รู้สึกว่าเพลี้ยงพล้ำคงไม่พอใจนัก

          นักวิชาการบางท่านออกมาเตือนว่า จากนี้ไประเบิดและความรุนแรงน่าจะเกิดมากขึ้น เพราะผู้บงการเสื้อแดงต้องตัดสินใจใช้ปีกกองกำลังเข้ารุกปฏิบัติการทางทหารเพื่อแก้เกมการเมืองที่พลาดท่าเสียที

          มาถึงขั้นนี้แล้ว กลัวไปก็เท่านั้น วิงวอนร้องขอก็เปล่าประโยชน์ สงครามกลางเมืองที่หวั่นเกรงกันมากจนเหมือนถูกสะกดจิตนั้นเล่า หากมันจะเกิดจริงใครที่ไหนจะห้ามได้
          นักยุทธศาสตร์ที่มีประสบการณ์มวลชนเขารู้ดีว่า แกนความรู้สึกนึกคิดของพลังมวลชนคนเสื้อแดงที่ถูกระดมเข้ามารบแตกหักในแต่ละคราว ล้วนมีแรงบันดาลใจและความฮึกห้าวที่จะได้เข้าร่วมประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองที่ใหญ่มากตามที่แกนนำได้ปลูกฝังความคิดและปลูกระดมกันมาอย่างเป็นระบบ
          ใครที่นี่งฟังแท็กซี่อย่างอดทนและครุ่นคิดสักหน่อย ใครที่ติดตามสื่อกระบอกเสียงของเครือข่ายเสื้อแดงในหลายรูปแบบ หรือคนที่สัมผัสแนวคิดของขบวนการผ่านการปราศรัยของแกนนำทางความคิดทฤษฏีในโอกาสต่างๆ ย่อมทราบได้ว่า ถึงที่สุดแล้วเป้าหมายคือการปฏิวัติโค่นล้มเพื่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ในหลายคราวเขาพูดถึงขึ้นจับชนชั้นผู้ปกครองแขวนคอกันแล้ว
          ในประเทศเสรีประชาธิปไตยอย่างเรา คงไปห้ามความคิดกันไม่ได้ แต่การรู้เท่าทันและเฝ้าระวังป้องกันเชื้อก่อการร้ายเป็นสิ่งจำเป็น คิดได้ พูดคุยได้ แต่ถ้ากระทำผิดกฏหมายนั้นยอมไม่ได้ และต้องถูกจัดการ
          อย่าประมาทฝีมือของคอมมิวนิสต์เก่านะครับ เขามีศาสตร์ มีศิลป์และมีประสบการณ์ ขนาดกรรมกรชาวนาไม่ต้องมีความรู้ลุ่มลึกอะไรมากยังถูกปลูกฝังศรัทธาความเชื่อในสิทธิมาร์กซ-เลนิน– เหมาเจ๋อตงถึงขั้นลุกขึ้นจับอาวุธถวายชีวิตได้เลย
          อย่าว่าแต่คนไทย แม้คนเยอรมันที่เฉลียวฉลาดนักก็ยังเคยถูกฮิตเลอร์ปลุกระดมจนยอมไปตายเพื่อหวังสร้างชาติตนให้ยิ่งใหญ่เป็นจ้าวโลกมาแล้ว
          ขณะนี้ขบวนการเสื้อแดงเขามีกองทัพนักวิชาการที่ทำงานกันอย่างแข็งขัน ดังนั้นการปฏิวัติชนชั้นหรือการปฏิวัติประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องที่น่าหัวเราะแล้วครับ
          ผมอยากเห็นรัฐบาลเปลี่ยนจากตั้งรับ มาเป็นรุกให้มากขึ้นในทุกมาตรการ เพราะเชื่อว่าเมื่อรัฐบาลรุก จะมีภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคมและพลังเงียบรุกตามขึ้นมากอย่างรวดเร็ว
 
            1. เดินหน้ายุบสภาในเก้าเดือน
                   นี่ถือเป็นการรุกทางการเมืองที่สำคัญมาก ต้องขอบคุณ นปช. ที่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมาก่อน ข้อเสนอเงื่อนไขที่ท่านนายกยื่นกลับไปในกระบวนการเจรจา นับเป็นเงื่อนไขที่เป็นทางสายกลางที่มีเหตุมีผลรองรับ ผมเชื่อว่าพลังเงียบทั่วประเทศหนุนเต็มที่
                   กระบวนการเจรจาได้ผ่านไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ควรมีการต่อรองเงื่อนเวลากันอีก
                   รัฐบาลควรประกาศเป็นสัญญาประชาคม และเตรียมโรดแม็ปรองรับอย่างเป็นกิจลักษณะ
            2. แก้ไขรัฐธรรมนูญหลังการเลือกตั้ง
                   การรีบร้อนแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้มีผลเสียมากกว่าผลดี เผลอๆ จะกลายเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการเลือกตั้งเสียด้วยซ้ำ ผมเชื่อว่าแม้กลุ่ม นปช. เองก็รับได้ต่อประเด็นนี้ กลุ่มพลังทางสังคมอื่นๆ อาจต่อต้านหากจะไปแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนักเลือกตั้งและทำกันอย่างลวกๆ
                   น่าจะนำประเด็นและสาระสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปใช้ในการรรณรงค์เลือกตั้ง รวมทั้งทำการสำรวจความเห็นสาธารณะเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการแก้ไขครั้งใหญ่
                   นักการเมืองคนใด พรรคไหนจะแก้รัฐธรรมนูญอย่างไร เอา-ไม่เอา , แก้-ไม่แก้ จะได้ชัดกันไปเลย ประชาชนจะได้เลือกถูกตัว แพ้-ชนะทุกฝ่ายจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ
                   ผมเชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้บรรยากาศการเลือกตั้งดีขึ้นไปเอง
 
            3. ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อถอดสลักการปฏิวัติมวลชน
                   ปัญหาพื้นฐานของมวลชนคนเสื้อแดงเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง มีมานานมาก และเป็นความยากลำบากของมวลชนรากหญ้าไม่ว่าจะสีใด
                   ปัญหาความยากจน ปัญหาระบบตำรวจ ปัญหาการเกษตร ปัญหาแรงงาน ปัญหาระบบราชการ ปัญหาการกระจายอำนาจ ฯลฯ
                   การตั้งกลไกขึ้นมาเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการปฏิรูประบบการจัดการของประเทศอย่างจริงจัง ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง โดยประชาชนรากหญ้ามีส่วนร่วม จะช่วยคลี่คลายความรู้สึกถูกทอดทิ้งได้
                   การออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อตั้งกลไกดำเนินการดังกล่าว มีตัวอย่างในสมัยท่านนายกชวน หลีกภัย ตั้งสำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ ให้ศึกษาแล้ว
 
            4. ป้องกันความรุนแรงในเชิงรุก
                   ในช่วง 9 เดือน ระหว่างเดินไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ ควรสนธิกำลังฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายรักษากฏหมาย ร่วมด้วยอาสาสมัครภาคพลเมืองหรือประชาสังคม ช่วยกันเฝ้าระวังติดตาม และดำเนินการต่อแกนนำมวลชน นักการเมือง หรือแนวร่วมที่มีพฤติกรรมใช้หรือสนับสนุนความรุนแรงอย่างเป็นระบบ โดยอำนวยความสะดวกให้ผู้ต้องหาได้รับความยุติธรรมและโปร่งใสอย่างถ้วนทั่ว
                   ใครเป็นใครในขบวนการเคลื่อนไหวช่วงที่ผ่านมา ได้เผยตัวเองเกือบหมดแล้ว หลักฐานก็หากันไม่ยาก ยุทธวิธีป้องกันแบบ “ชิงรุก” (Pre-emptive) น่าจะเป็นประโยชน์ครับ หากเปิดโอกาสให้อาสาสมัครภาคประชาชนมาช่วย เพราะเขารู้จักและชี้ตัวกันได้ถึงบ้านช่องเลยทีเดียว
 
พลเดช ปิ่นประทีป
1 เมษายน 2553
 

Be the first to comment on "“ 9 เดือนยุบสภา แต่…”"

Leave a comment

Your email address will not be published.