MENU

การจัดการความรู้ แบบเคเอ็มคืออะไร (Knowledge Management : KM)

ความรู้อาจแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ความรู้ที่เด่นชัด เป็นความรู้ที่อยู่ในรูปแบบที่เป็นเอกสาร ตำรา คู่มือต่างๆ หรือวิชาการ ส่วนความรู้อีกประเภทหรือ คือ ความรู้ซ่อนเร้น เป็นความรู้ที่แฝงอยู่ในตัวบุคคล


 

ประเภทความรู้

          ความรู้อาจแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ความรู้ที่เด่นชัด  เป็นความรู้ที่อยู่ในรูปแบบที่เป็นเอกสาร ตำรา คู่มือต่างๆ หรือวิชาการ ส่วนความรู้อีกประเภทหรือ คือ ความรู้ซ่อนเร้น เป็นความรู้ที่แฝงอยู่ในตัวบุคคล เป็นประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมายาวนาน เป็นภูมิปัญญา ซึ่งความรู้ทั้ง 2 ประเภทนี้จะมีวิธีการจัดการที่แตกต่างกันดังนี้

          1. ความรู้ที่เด่นชัด (Explicit Knowledge) การจัดการความรู้ประเภทนี้นั้นจะเน้นที่การเข้าถึงแหล่งความรู้ ตรวจสอบ และตีความได้ เมื่อนำไปใช้แล้วเกิดความรู้ใหม่ก็นำมาสรุปไว้เพื่อใช้อ้างอิงหรือให้ผู้อื่นเข้าถึงได้

          2. ความรู้ซ่อนเร้น (Tacit Knowledge) การจัดการความรู้จะเน้นไปที่การจัดเวทีเพื่อให้มีการแบ่งปันความรู้ที่อยู่ในตัวผู้ปฏิบัติ ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน อันนำไปสู่การสร้างความรู้ใหม่ที่แต่ละคนสามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานต่อไปได้

          ในชีวิตจริงความรู้ทั้ง 2 ประเภทนี้จะเปลี่ยนสภาพสลับปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลา และในการประยุกต์ใช้นั้นควรทำให้เกิดการเรียนรู้ทั้ง 2 ความรู้ควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน

 

          การจัดการความรู้ที่ทาง สคส. ได้ดำเนินการนั้นใช้โมเดล ปลาทู เป็นโมเดลง่ายๆที่เปรียบการจัดการความรู้เหมือนปลาทู 1 ตัว แบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ

1.        หัวปลา (Knowledge Vision : KV) หมายถึง ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทำการจัดการความรู้ต้องตอบให้ได้ว่า เราจะจัดการความรู้ไปเพื่ออะไร?”

2.        ตัวปลา (Knowledge Sharing : KS) เป็นส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้โดยเฉพาะความรู้ที่ซ่อนเร้น (ความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล เช่น ทักษะพิเศษ,ภูมิปัญญาต่างๆ เป็นต้น) โดยอาศัยบรรยายกาศการพูดคุยแลกเปลี่ยนให้เกิดการหมุนเวียนความรู้ หรือการยกระดับความรู้

3.        หางปลา (Knowledge Assete : KA) เป็นส่วนของคลังความรู้หรือขุมความรู้ ที่ได้จากการสะสมเกร็ดความรู้ ที่เกิดจากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในช่วงตัวปลา เมื่อเราสามารถสกัดเกร็ดความรู้ต่างๆออกมาเป็นความรู้ที่เด่นชัดได้ ก็จะสามารถนำความรู้นั้นไปเผยแพร่ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อยกระดับการเรียนรู้ต่อไป

 

 

                    ซึ่งในการดำเนินกิจกรรมแต่ละขั้นทั้ง 3 ขั้นตอนนั้น จำเป็นต้องมีผู้ดำเนินการที่มีบทบาทสำคัญที่จะดำเนินการจัดการความรู้ให้เกิดขึ้นได้ คือ คุณเอื้อ คุณกิจ และคุณอำนวย โดยคุณเอื้อ (Chief Knowledge Officer :CKO) จะเป็นผู้ทำหน้าที่ช่วยเหลือให้เกิดหัวปลาขึ้นมา โดยนำเสนอหัวปลาให้กับผู้บริหารเพื่อให้ผู้บริหารเป็นเจ้าของหัวปลาให้ได้ ต่อมาจึงสรรหาคุณอำนวย (Knowledge Facilitator : KF)  ซึ่งเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้ ทำหน้าที่เป็นนักจุดประกายความคิดและนักเชื่อมโยงระหว่างผู้ปฏิบัติ(คุณกิจ) กับผู้บริหาร (คุณเอื้อ) สำหรับผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุด ถือได้ว่าเป็นพระเอกหรือนางเอกของการจัดการความรู้ คือ คุณกิจ (Knowledge Practitioner : KP) เพราะเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมจัดการความรู้ประมาณร้อยละ 90-95 ของการจัดการความรู้ทั้งหมด คุณกิจถือว่าเป็นเจ้าของหัวปลาที่แท้จริง และเป็นผู้มีความรู้ เป็นผู้ที่ต้องมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หา สร้าง แปลง ความรู้เพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุถึงเป้าหมายหรือหัวปลาที่ตั้งไว้ และสิ่งสำคัญบุคคลที่พึงระวังคือ คุณอำนาจ ที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นในการจัดการความรู้ เพราะอาจจะทำให้เกิดข้อจำกัดในการแบ่งปันประสบการณ์ได้

โดยรายละเอียดของแต่ละคนที่มีส่วนสำคัญที่ดำเนินการในการจัดการความรู้นั้น มีดังนี้

1. คุณเอื้อ (Chief Knowledge Officer :CKO) บทบาทแรกของคุณเอื้อคือ ค้นคิดหัวปลา แล้วนำไปเสนอผู้บริหารให้ผู้บริหารยอมรับเป็นเจ้าของหัวประหลาดังกล่าว จากนั้นทำการสรรหา คุณอำนวย และร่วมกับคุณอำนวยจัดให้มีการกำหนดเป้าหมาย (หัวปลา) ในระดับย่อยของผู้ปฏิบัติงาน (คุณกิจ) คอยเชื่อมโยงหัวปลา เข้ากับวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ขององค์กร จัดบรรยากาศแนวราบและ การบริหารงานแบบเอื้ออำนาจ (empowerment) ร่วมแบ่งปันทักษะในการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อประโยชน์ในการ

ดำเนินการจัดการความรู้โดยตรง และเพื่อแสดงให้คุณกิจเห็นคุณค่าของทักษะดังกล่าว จัดสรรทรัพยากรสำหรับใช้ในกิจกรรมการจัดการความรู้ พร้อมคอยเชื่อมโยงการจัดการความรู้เข้ากับกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆทั้งภายในและภายนอกองค์กร ติดตามความเคลื่อนไหวของการดำเนินการ ให้คำแนะนำบางเรื่อง และแสดงท่าทีชื่นชมในความสำเร็จ อาจจัดให้มีการยกย่องความสำเร็จและให้รางวัลที่อาจไม่เน้นสิ่งของแต่เน้นการสร้างความภาคภูมิใจในความสำเร็จ

 

2. คุณอำนวย (Knowledge Facilitator : KF) เป็นผู้คอยอำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้ ความสำคัญของคุณอำนวยอยู่ที่การเป็นนักจุดประกายความคิดและการเป็นนักเชื่อมโยง โดยต้องเชื่อมโยงระหว่างผู้ปฏิบัติ (คุณกิจ) กับผู้บริหาร (คุณเอื้อ) เชื่อมโยงระหว่าง คุณกิจ ต่างกลุ่มภายในองค์กร และเชื่อมโยงการจัดการความรู้ภายในองค์กรกับภายนอกองค์กร โดยที่คุณอำนวยควรทำหน้าที่ดังนี้คือ

          ร่วมกับคุณเอื้อจัดให้มีการกำหนดหัวปลาของคุณกิจ อาจจัด มหกรรมหัวปลา เพื่อสร้างความเป็นเจ้าของหัวปลา

          จัดตลาดนัดความรู้ เพื่อให้คุณกิจนำความสำเร็จมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถอดความรู้ออกมาจากวิธีทำงานที่นำไปสู่ความสำเร็จนั้น เพื่อการบรรลุหัวปลา

          จัดการดูงานหรือกิจกรรม เชิญเพื่อนมาช่วย (Peer Assist) เพื่อบรรลุหัวปลาได้ง่ายหรือเร็วขึ้น โดยที่ผู้นั้นจะอยู่ภายในหรือนอกองค์กรก็ได้ เรียนรู้วิธีการทำงานจากเข้า เชิญเขามาเล่าหรือสาธิต

          จัดพื้นที่เสมือนสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสำหรับเก็บรวบรวมขุมความรู้ที่ได้ เช่น ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ ซึ่งรวมทั้งเว็ปไซด์ เว็บบอร์ด เว็บบล็อก อินเตอร์เน็ต จดหมายข่าว เป็นต้น

          ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแนวปฏิบัติ (CoP : Community of Parctice) ในเรื่องที่เป็นความรู้ หรือเป็นหัวใจในการบรรลุเป้าหมายหลักขององค์กร

          เชื่อมโยงการดำเนินงานการจัดการความรู้ขององค์กรกับกิจกรรมการจัดการความรู้ภายนอก เพื่อสร้างความคึกคักและเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับภายนอก

 

3. คุณกิจ (Knowledge Practitioner : KP) เป็นผู้ปฏิบัติงาน เป็นพระเอก หรือนางเอกตัวจริงของการจัดการความรู้ เพราะเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมประมาณร้อยละ 90-95 ของทั้งหมด คุณกิจเป็นเจ้าของหัวปลาโดยแท้จริง และเป็นผู้ที่มีความรู้ (Explicit Knowledge & Tacit Knowledge) และเป็นผู้ที่ต้องมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ใช้ หา สร้าง แปลง ความรู้เพื่อการปฏิบัติให้บรรลุถึงเป้าหมายหรือหัวปลาที่ตั้งไว้

รวมรวมข้อมูลโดย  เพื่อนชุมชน

 

ที่มา : http://www.pernchumchon.com

Be the first to comment on "การจัดการความรู้ แบบเคเอ็มคืออะไร (Knowledge Management : KM)"

Leave a comment

Your email address will not be published.