ปลุกพลัง “การเมืองข้างถนน” ขับไล่อำนาจมืดครอบงำสื่อ

เครือข่ายภาคประชาชน ปลุกพลัง “การเมืองข้างถนน” ลุกขึ้นต่อต้านการเข้าทำลายกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุล ปิดปากสื่อ เตือนหากกลไกตรวจสอบถูกปิดกั้นทุกวิถีทางแรงต้านจะแรงขึ้น…

เครือข่ายภาคประชาชน ปลุกพลัง การเมืองข้างถนนลุกขึ้นต่อต้านการเข้าทำลายกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุล ปิดปากสื่อ เตือนหากกลไกตรวจสอบถูกปิดกั้นทุกวิถีทางแรงต้านจะแรงขึ้น มีสิทธิ์เจอประชาชนเดินขบวนขับไล่ยึดอำนาจคืน เลขาธิการครป.ชี้เป็นเกมรุกคืบจัดระเบียบสื่อภายใต้ ชินวัตรโมเดลหนึ่งรัฐมนตรีหนึ่งสื่อที่ไล่ยึดตั้งแต่ไอทีวี เนชั่น โพสต์ มติชน และเขี่ยเมืองไทยรายสัปดาห์พ้นผังรายการ

 

       นางสาวรสนา โตสิตระกูล กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค แกนนำเครือข่าย 30 องค์กรต่อต้านการทุจริตยา กล่าวถึงการเข้าแทรกแซงสื่อทั้งการซื้อหุ้นสื่อมติชนและบางกอกโพสต์รวมถึงการปลด

นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการ ครป.

รายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์ว่า เป็นความพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้ามาทำลายกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุล เป็นการเข้ามาปิดปากสื่อ ซึ่งแต่เดิมผู้มีอำนาจจะใช้วิธีการปิดแท่นพิมพ์ แต่ในยุคทุนนิยมเสรี การแทรกแซงสื่อทำโดยการใช้เงินทุน และรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ จากที่ใช้วิธีซื้อนักข่าว ซื้อเจ้าของกิจการด้วยงบโฆษณาก็เข้ามาซื้อหุ้น เทคโอเวอร์ เป็นเจ้าของกิจการเสียเอง

      นางรสนา กล่าวต่อว่า นับจากนี้การเมืองข้างถนนโดยพลังของประชาชนจะแรงขึ้น เพราะกลไกตรวจสอบที่เป็นกติกาและสังคมยอมรับถูกปิดกั้น ทำงานไม่ได้ หรือไม่ทำงานอย่างสภาที่มีแต่โมฆะบุรุษ แอบอ้างอำนาจของประชาชน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องเจอกับพลังประชาชนซึ่งยังถือสิทธิอธิปไตยมีสิทธิ์ลุกขึ้นมาเดินขบวนขับไล่และปฏิวัติ

       อย่าลืมว่าสาระสำคัญของระบอบประชาธิปไตยก็คือจะต้องมีระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล และประชาชนคือผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มีสิทธิ์ยึดอำนาจคืนหากเห็นความไม่ถูกต้อง นางรสนา กล่าว

นางรสนา ยังกล่าวว่า กลุ่มทุนใหญ่ที่ผูกขาดและเติบโตอย่างมาก คืออนุมูลอิสระที่กำลังกลายสภาพเป็นมะเร็งร้ายทางสังคม ทำให้สังคมขาดดุลยภาพ ซึ่งรัฐบาลต้องเข้ามาดูแลควบคุม แต่ขณะนี้รัฐบาลไม่ได้ต้องการรักษาผลประโยชน์ของรัฐซึ่งหมายถึงประชาชนเพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อน สังคมที่เกิดมะเร็งร้ายก็จะเหมือนร่างกายที่ถูกมะเร็งกัดกินและตายไปในที่สุด

ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวถึง กรณีที่บอร์ด อสมท.มีมติปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์โดยอ้างว่าพาดพิงคนอื่นในลักษณะเมิดสิทธิคนอื่นโดยไม่โอกาสชี้แจง ว่าเป็นมติที่เลือกปฏิบัติอย่างน่าละอายที่สุด เพราะรายการสมัคร-ดุสิต คิดตามวัน ทางช่อง 9 เข้าข่ายยั่วยุละเมิดสิทธิและกล่าวหาคนอื่นโดยที่ผู้ถูกพาดพิงไม่มีโอกาสชี้แจงเช่นกัน แต่รายการนี้กับอยู่ยงคงกระพันและได้คลื่นวิทยุเอฟเอ็ม 94 ในเครือ อสมท. อีก การอ้างว่ารายการดังกล่าวละเมิดพระราชอำนาจนั้น เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อฉวยโอกาสปลดรายการนี้ทิ้งเท่านั้น ทั้งที่เนื้อหาเกี่ยวกับพระราชอำนาจที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล เอามาเล่า เป็นไปเพื่อพิทักษ์รักษาพระราชอำนาจของในหลวงไว้ต่างหาก
       

ประชาชนทั่วไปรู้ดีว่ารายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เป็นรายการเดียวในทีวีประเภทฟรีทีวีที่เอาความจริงมาพูดและพยายามชี้ให้สังคมเห็นข้อเท็จจริงทางสังคมการเมืองอีกด้านหนึ่งจนได้รับความนิยมสูงมาก แต่เนื่องจากไม่ใช่รายการประเภทพวกอีแอบ จัดเชลียร์รัฐบาลรายวัน จึงต้องถูกปลดออกจากผังช่อง 9

ผมเชื่อว่าเป็นการรุกคืบจัดระเบียบวงการสื่อสารมวลชนครั้งใหญ่ของกลุ่มทุนธุรกิจการเมือง ภายใต้ ชินวัตรโมเดลหนึ่งรัฐมนตรีหนึ่งสื่อ ซึ่งเริ่มต้นจากการยึดไอทีวี โดยตระกูลชินวัตร การเข้าไปซื้อหุ้นเครือเนชั่นของตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ การเทคโอเวอร์หนังสือพิมพ์เครือมติชนและโพสต์ ของเครือแกรมมี่ซึ่งเป็นกลุ่มทุนพันธมิตรชินวัตร และการปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ผมเข้าใจว่าคงเป็นการเคลียร์ทางรองรับเจ้านายใหม่ที่กำลังเตรียมเข้ามาซื้อหุ้นและเป็นเจ้าของ อสมท.จากเดิมที่เป็นรัฐวิสาหกิจของประชาชน ก่อนหน้านี้ก็ทราบกันดีว่า ช่อง 3 5 7 11 และ ยูบีซี คนในรัฐบาลก็นั่งเป็นเจ้าของทั้งนั้น” นายสุริยะใส กล่าว

นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า สังคมต้องช่วยกันต่อต้าน ชินวัตรโมเดล และอยากเรียกร้องฝ่ายค้านร่วมกับภาคประชาสังคมเร่งยกร่างกฎหมาย จำกัดจำนวนการถือหุ้นข้ามสื่อเพื่อแก้ปัญหา การถือหุ้นไขว้ระหว่างสื่อสิ่งพิมพ์กับสื่อวิทยุ โทรทัศน์ เพราะแนวโน้มการครอบงำสื่อมีลักษณะทุนกลุ่มเดียวเข้าไปเป็นเจ้าของสื่อหลายประเภทพร้อมๆ กัน

 

ที่มา :  ผู้จัดการออนไลน์

 

Be the first to comment on "ปลุกพลัง “การเมืองข้างถนน” ขับไล่อำนาจมืดครอบงำสื่อ"

Leave a comment

Your email address will not be published.