สื่ออย่างมีสติ สื่อให้มียุทธศาสตร์

สืบเนื่องจากเวทีอีสานโสเหล่ที่เมืองเลยที่อาจดูเหมือนคุยกันไม่จบดีนัก จึงเป็นที่มาของ เวทีอีสานโสเหล่ ภาคพิเศษ เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการการสื่อสารเพื่อหนุนเสริมประสิทธิภาพงานให้บรรลุเป้าหมายโครงการ…

โดย วิลาวัณย์ เอื้อวงศ์กูล

 

สืบเนื่องจากเวทีอีสานโสเหล่ที่เมืองเลยที่อาจดูเหมือนคุยกันไม่จบดีนัก จึงเป็นที่มาของ เวทีอีสานโสเหล่ ภาคพิเศษ เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการการสื่อสารเพื่อหนุนเสริมประสิทธิภาพงานให้บรรลุเป้าหมายโครงการ โดยอาจารย์เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ผู้จัดการงานพัฒนาการสื่อสารโครงการฯ พร้อมทีมงานสื่อสารสาธารณะอันได้แก่ นายหวาน นางสาวอ้อ และน้องหมู มาช่วยทำกระบวนการให้ตั้งแต่วันที่ ๑๔ ๑๖ ก.ค. ๔๘ โดยมีโครงการชีวิตสาธารณะ ท้องถิ่นน่าอยู่ จ.กาฬสินธุ์ รับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงดูปูเสื่อเปิดหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎกาฬสินธุ์ ( เฉพาะห้องพักที่ยังว่างอยู่เท่านั้นนะจ๊ะ ห้องที่มีนักศึกษาพักอยู่แล้วไม่เกี่ยว.. ) ต้อนรับผู้เข้าอบรม ๔๐ กว่าชีวิตบนมหาลัยที่เขาว่า…เป็นมหาวิทยาลัยที่เล็กที่สุดบนพื้นที่ที่กว้างใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

งานนี้แม้หลายคนจะรู้สึกตึงๆ ตั้งแต่คืนแรก เพราะมีการทดลองใช้ สื่อและการเสวนาเพื่อสติสาธารณะ กรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็น่าจะเก็บเป็นความภูมิใจกับตัวเองที่ได้มีโอกาสเห็นตัวอย่างที่น่าสนใจของกระบวนการการใช้สื่อเพื่อการขับเคลื่อนงานชีวิตสาธารณะอย่างมียุทธศาสตร์

เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง กับการพิจารณาสื่ออย่างมีสติ ช่วยเปิดมุมมอง โลกทัศน์ ความคิด ความเชื่อ ของผู้ชมเป็นระยะ ๆ ผ่านท่วงทำนองและจังหวะจะโคนของสารคดีภาพเคลื่อนไหวที่ร้อยเรียงมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเกี่ยวกับความเป็นเมืองชายแดน ๓ จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่ (๑) ความหลังที่ขังคน (๒) ความเป็นเมืองถิ่นชายแดน (๓) อำนาจรัฐจากส่วนกลาง (๔) ความไม่เท่าเทียมต่อวิถีวัฒนธรรม การศึกษา ฯลฯ และ (๕) กระแสรุกรานจากภายนอกทั้งระดับชาติระดับโลก

ก้อนเนื้อทางความคิดทั้ง ๕ ค่อย ๆ ซึมซับเข้าสู่การรับรู้ของผู้ชม ทิ้งท้ายและเบรคแต่ละช่วงด้วยคำถาม ข้อคิด ข้อสังเกต ด้วยน้ำเสียงอันแน่นหนักของอาจารย์ขวัญสรวง อติโพธิ ผู้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรและผู้อยู่เบื้องหลังงานสื่อชิ้นนี้อย่างใกล้ชิด แทรกคั่นก่อนเริ่มช่วงต่อไปด้วยการเปิดวงเสวนากับผู้ชมประมาณเกือบ ๆ ชั่วโมง โดยมีวิทยากรกระบวนการประจำกลุ่มทำหน้าที่ชักชวนและกระตุ้นให้แสดงความคิด ความเห็น และอาจมีบางคนปนความรู้สึกมาด้วย หลังจากที่โยนประเด็นคำถามนำเพื่อให้เกิดการพูดคุยอย่างเป็นสาธารณะ เช่น ท่านคิดว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากอะไร? ในสถานภาพและบทบาทที่ท่านเป็นอยู่จะมีแนวทางแก้ไขปัญหานี้อย่างไร? ย้อนมาพิจารณาดูท้องถิ่นของท่านมี เรื่องทำนองนี้บ้างไหม? และจบลงที่ หลังจากดูสื่อและร่วมเสวนาแล้ว ท่านรู้สึกและมีมุมมองอย่างไรต่อกรณี ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้?

เป็นเจตนาของคณะผู้จัดทำสื่อชิ้นนี้ที่ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อชวนให้เชื่อโดยทันที หรือต้องมาคล้อยตามโดยไม่พินิจพิจารณาอะไรเลย แต่หากเป็นความตั้งใจทำและใช้สื่อชุดนี้เพื่อชวนและชงให้เกิดการคิดต่อ มองอย่างลุ่มลึก เพื่อให้เป็นสื่อที่สร้างสติในการดูชม และใคร่ครวญอย่างมีวิจารณญาณ

เพียงหวังว่า…ความเข้าใจต่อกรณี ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นที่ประจักษ์ชัดขึ้นในความรู้สึกของความเป็นคนไทยด้วยกัน มิใช่การใช้สื่อกระแสใดกระแสหนึ่งเพื่อมาปลุกระดม ชวนเชื่อ หรือสร้างให้เกิดความรู้สึกแตกแยก แบ่งเขา แบ่งเรา เฉกเช่นที่เกิดขึ้นและแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเหมือนเช่นในขณะนี้ ซึ่งหากมองในเชิงยุทธศาสตร์ ก็ต้องยอมรับว่านี่คือยุทธวิธีขั้นสุดยอดที่ฝ่ายผู้ไม่หวังดีกำลังดำเนินการอยู่ โดยมีสื่อมวลชน รัฐบาล ชาวบ้านและข้าราชการทั้งในและนอกพื้นที่ รวมถึงคนไทยอีกค่อนประเทศ กำลังเป็นตัวละครที่ตกเป็น เหยื่อ ให้เขาจับวางทั้งโดยไม่รู้ตัวหรืออาจรู้ตัวแล้วก็ตาม

แต่ถามจริง ๆ เถอะ… แล้วใครกันที่ต้องเจ็บปวด ใครกันที่ต้องทุกข์ทรมานกับการสูญเสีย ใครกันที่ต้องมาแบกรับภาระเพื่อแก้วิกฤติที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ทหาร? ตำรวจ? ครู? เด็ก? ผอ.โรงเรียน? นักการเมือง? เอ็นจีโอ? สส.? สว.? คณะกรรมการสมานฉันท์? นายกรัฐมนตรี? ผู้นำชาวบ้าน? พระ? แกนนำชุมชน? ฯลฯ? ใครกันที่กลายเป็นคนมีอคติ จงเกลียดจงชังคนชาติเดียวกันทั้ง ๆ ที่ก็ไม่มีใครตอบได้แน่ชัดเลยด้วยซ้ำถึงต้นตอสาเหตุแห่งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

สุดท้าย การณ์กลับกลายเป็นคนไทยด้วยกันเองที่กำลังตกเป็นเหยื่อของความไม่รู้ และอารมณ์ของความเกลียดชัง ซึ่งถูกสั่งสมผ่านสื่อ ผ่านกระแส ผ่านเพียงความรู้สึก แล้วนำมากำหนดตัดสินปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพียงเพราะได้ยินผ่านสองหู ได้เห็นผ่านสองตา ได้อ่านผ่านตัวอักษร แต่เป็นความเลือนรางที่ห่างร้างจากความชัดเจน

การฟังเสียงสะท้อนจากมุมของ คนใน จึงจำเป็นไม่น้อยไปกว่าการเฝ้ามองในฐานะ คนนอก ที่คอยเกาะรั้วอยู่รอบๆ เท่านั้น สื่ออย่างมีสติ กรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงน่าจะเป็นบทเรียนหนึ่งของความบรรจงที่จะสร้างความเข้าใจกับสาธารณะในมิติที่แตกต่าง เป็นการชวนมอง ชวนให้เข้าใจ ผ่านสายตาที่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกนึกคิดของ คนใน ที่ คนนอก อย่างเราต้องพยายามเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เช่นเดียวกับการคิดที่จะทำสื่อ คิดจะใช้สื่อ หรือหากคิดที่จะสื่อสิ่งใดออกไป ต้องผ่านทั้งมุมของคนในและคนนอกอย่างใคร่ครวญ เพื่อจะได้ สื่อให้เป็น (รู้รูปแบบ วิธีการ จังหวะ ระยะห่าง ความเหมาะสม) สื่อให้ถึง (กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน) และ สื่อให้ชัด (มีจุดมุ่งหมาย เนื้อหาไม่เบลอ ตรงตามเป้าประสงค์ที่ต้องการ) ไม่เผลอไผลตกเป็นเครื่องมือของใคร (ทั้งที่จะใช้เขา) หรือให้ใครอื่นหลอกใช้อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า (แล้วงานตัวเองก็เดินไม่เข้าเป้าสักที) ก่อนจะมารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว…ทุกทีเลย

ปล. อย่าลืมหมั่นตั้งคำถามทุกครั้งที่ทำสื่อ ว่าเรา ได้ ให้ ใช้ ชวน เชื่อ ชง งานสื่อเพื่องานเราแล้วหรือไม่ เพียงใด

ที่มา : จดหมายข่าว “ฮักแพง” ปีที่ 2 ฉบับที่ 16 เดือนกรกฎาคม 2548

Be the first to comment on "สื่ออย่างมีสติ สื่อให้มียุทธศาสตร์"

Leave a comment

Your email address will not be published.