สนุกกับชีวิต มิตรสหาย 196 โดย หมอทวี ตอนที่ 4. “ธงแดงเหนือภู”

ปี 2520 ราวเดือนหกเห็นจะได้ หน่วยจรยุทธ์สี่สหายของเราได้รับมอบหมายจากจัดตั้งให้ลงทำงานมวลชนในเขต อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ

พื้นที่นั้นเป็นเขตเคลื่อนไหวเก่าของนักศึกษาในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ซึ่งจัดตั้งต้องการให้ไปฟื้นฐานมวลชนโดยชักชวนให้เข้ามาต่อสู้ร่วมกับพรรค

หน่วยของเราเป็นนักศึกษาล้วนๆ ประกอบด้วยสหายศักดิ์ สหายสม สหายอุบลและสหายทวี ทั้งนี้มีศักดิ์เป็นหัวหน้าหน่วย ส่วนผม สหายทวี เป็นหมอประจำทีม

สหายจากที่มั่นบนภูเขียวได้พาพวกเรามาส่งถึงบ้านโหล่น จากนั้นเราได้พบกับมวลชนที่เป็นสายสองสามคน มารอรับที่ตีนภู บริเวณรอยต่อระหว่างภูเขียวกับภูพญาพ่อ ผมจำได้ว่ามีลุงหกกับพี่ทีปเป็นคนนำทาง

ผมได้ยินกิติศัพท์จากพวกสหายเล่าให้ฟังว่า “ลุงหก”แกเป็นพรานใหญ่ มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์มาก ฝูงวัวแดงที่เคยมีชุกชุมมากในป่าดงและโคกแถบนี้ มีอันต้องสูญพันธุ์ไปก็เพราะฝีมือแม่นฉมังของแกและปืนแก๊ปลูกโดดคู่กาย แกยิงนัดเดียวที่เป้าหมายเดียว คือที่หน้าผากระหว่างลูกตาสองข้างเท่านั้น ไม่เคยพลาด

ภาพวัวแดงและช้างป่าที่ทุ่งกะมัง ภูเขียว

คืนนั้น พวกเขาพาเราเดินลัดป่าโคก จากตีนภูเขียวข้ามมาฝั่งภูพญาพ่อภายใต้แสงจันทร์ เดินกันไปไม่ทันนาน แกส่งสัญญาให้เราหยุดเดิน สักครู่ได้ยินเสียงปืนแก็ปของแกดังขึ้น แล้วแกก็กลับมาพร้อมกับหิ้วซากกระต่ายป่าหนึ่งตัว พอเหมาะสำหรับเป็นอาหารมื้อแรกที่เอร็ดอร่อยของพวกเราในค่ำคืนนั้น

รุ่งเช้า เขาพาพวกเราปีนขึ้นสันเขาพญาพ่อ แล้วเดินทางไต่ไปตามเส้นทางหากินของพรานป่า สภาพเขาพญาพ่อเป็นเขาหินปูน มีหลังสันสูงต่ำขึ้นลงๆๆไปตลอดเทือกเขา พวกเราเหมือนเดินไปบนฟันเรื่อย โนนแล้วโนนเล่า จนอ่อนล้าไปหมด แต่ทุกคนก็ยังสนุกสนานคึกคักด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้า ไม่มีใครปริปากบ่น

ผ่านไปฝสามวันสามคืน สองลุงหลานมวลชนคนบ้านป่า ได้พาเรามาถึงหน้าผาสูงที่เป็นจุดสุดปลายทาง จากนั้นก็พาเราปีนลงจากหน้าผาที่สูงชันมาก เพื่อลงมาตรงจุดที่เป็นถ้ำลึกลับในซอกเขาบริเวณปากช่องลำน้ำเจียงได้อย่างแม่นยำ มันแสดงถึงความเชี่ยวชาญในภูมิประเทศของพรานท้องถิ่นได้อย่างหาตัวเปรียบยาก

แต่ผมนี่ซิ เรียกว่าสุดสะบักสะบอมกันเลยทีเดียว เพราะตลอดเช้าวันนั้น ผมลื่นพรืดๆลงมาตามผาดินปนหินเป็นช่วงๆร่วมสิบครั้ง เป็นที่ขบขันแกมเวทนาสงสารของหมู่สหายและเพื่อนร่วมทาง

เมื่อปีนป่ายกันลงมาที่ละช่วงๆ จนถึงบริเวณปากถ้ำ พบว่าตัวถ้ำมีขนาดแคบๆราว10-15 ตารางเมตร มีหลืบมีซอกตามสภาพธรรมชาติ พื้นถ้ำเป็นดินทรายแปนๆ มีขี้เลียงผาเป็นเม็ดๆขนาดลูกดินเหนียวสำหรับยิงหนังสะติ๊ก ขี้เลียงผากองอยู่เป็นหย่อมๆ ที่ยังสดๆก็มี เราคุยกันว่า

“แย่งบ้านเลียงผาทำที่นอนสักหน่อย อย่าว่ากันนะ”

ภาพภูพญาพ่อ บริเวณเขาปากช่องแม่น้ำลำเจียงทะลุออกมาจากเทือกเขา เป็นที่ตั้งหมู่บ้านบ่อทอง หรือ บ้านคำผักเหม็น(คำหมากเหม็น)

ถ้ำนี้ตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่สุดยอด ใครเลยจะนึกว่าชาวบ้านจะพาเรามาอยู่ที่แบบนี้ ด้านหนึ่งมันสะท้อนภูมิปัญญาคนท้องถิ่นที่รู้จักภูมิประเทศของชุมชนท้องถิ่นได้อย่างละเอียดและรู้จักใช้ประโยชน์จากมัน แต่อีกด้านหนึ่งก็สะท้อนความปอดแหกของมวลชนกับหัวหน้าหน่วย ที่กลัวเสียลับเสียจนทำเอาสหายต้องลำบากเกินเหตุเกินผล

“พ่อหกครับ ถ้าชาวบ้านเดินทางจากบ้านโหลนมาถึงถ้ำนี้ ทั่วไปเขาจะใช้เวลาเท่าไร” ผมอดถามไม่ได้ เพราะเดินคิดมาตลอดทาง

ลุงหกตอบว่า “วันเดียวแค่นั้นแหละ สหาย”

“อ้าว…แล้วทำไมถึงไม่ ….” ผมอ้าปากค้าง เมื่อโดนแกสวนมาทันควัน

“ก็ย่านเสียลับน่ะเด้ะ สหาย”

เราหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำนั้นอยู่หลายวัน เพราะมีภารกิจต้องพบปะกับแกนนำมวลชนและแนวร่วมที่เป็นชาวบ้านในละแวกนั้น รวมทั้งใช้เป็นฐานส่งข่าวติดต่อไปถึงมวลชนที่ไกลออกไปร่วมสามสิบกิโลเมตร คือบ้านหนองหอยปัง หนองเป็ดและบ้านใหม่ห้วยกนทา

งานจรยุทธ์ช่วงแรกที่เราลงภูเพื่อมาปลุกระดมชาวบ้านเป็นไปอย่างได้ผล มวลชนเก่าของสหายนักศึกษาที่เคยผูกพันธ์เหมือนพ่อแม่กับลูกหลานในครั้งเคลื่อนไหวชาวนา เมื่อมวลชนได้ทราบข่าวว่าพวกเรายังไม่ตายในเหตุการณ์ล้อมปราบที่ธรรมศาสตร์และหนีเข้าป่ามาอยู่แถบนี้ ต่างอยากมาพบปะ มาเห็นหน้า แล้วเอาไปส่งข่าวกระซิบกระซาบกัน หลายครอบครัวถึงกับตัดสินใจส่งลูกหลานเข้ามาร่วมเป็นกองทหารต่อสู้ด้วย

แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น พวกเราพากันกินอาหารอะไรไม่รู้ เข้าใจว่าเป็นตำส้มมะละกอของสหายศักดิ์ เกิดปัญหาท้องเสียกันโดยถ้วนหน้า สถานที่ที่จะขี้จะเยี่ยวก็ยากแสนยาก เพราะต้องปีนขึ้นหลังคาถ้ำด้วยความทุลักทุเล เสร็จแล้วต้องปีนกลับลงมานอนเอาแรง สลับกับการไต่ถ้ำลงมาที่ลำห้วยเพื่อชำระล้างร่างกาย

เป็นธรรมดาอยู่เอง กางเกงในของพวกเราก็ต้องติดเศษติดเลยกันไปบ้างไม่เว้นแต่ละคน ทำให้ต้องลงไปซักกางเกงกันถี่หน่อย ซักเสร็จก็เอาไปพาดตากไว้ที่กิ่งไม้บ้าง บนก้อนหินบ้าง อยู่บนหลังคาถ้ำโน่น

แต่เจ้ากรรม มันบังเอิญว่ากางเกงในของสหายคนหนึ่งมีสีแดงแปร้ด มันจึงดูเด่นเป็นสง่าเมื่อแหงนมองขึ้นไปจากทางขึ้นถ้ำ ไม่รู้ใครคนหนึ่งเกิดมุกขำขันขึ้นมาก่อน เปิดประเด็นด้วยท่าทางขึงขังว่า

“สหาย…เป็นอันว่างานของพรรคได้ผลดียิ่ง พวกเราลงมาทำงานได้ไม่กี่วัน ก็สามารถชักธงแดงเหนือภูพญาพ่อได้แล้ว!”

อันนี้ไม่ใช่ธงแดงเหนือภูพญาพ่อ  แต่เป็นธงไตรรงค์ที่ภูหินร่องกล้า

เท่านั้นแหละ พวกเราทั้งสี่สหายพากันหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง หัวเราะจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล เสียงดังลั่น ไม่กลัวเสียลับกันล่ะทีนี้

เรื่องนี้นึกขึ้นมาที่ไรก็ขำไม่หายจนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่เชื่อถามดูได้ ยังอยู่กันครบทุกคน

แต่ความจริงตอนนั้นลำบากมากนะ

เพราะต้องหัวเราะไป ขมิบกันไป

อ่ะน่ะ ๆๆๆ.

หมายเหตุ.

สหายสม แกฝากบอกมาว่า เรื่องนี้เป็นความผิดของสหายสาย ผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายพลาธิการที่มีแต่กางเกงในสีแดงให้เบิก ให้อะไรมาเราก็ต้องใช้กันไป

และอีกคนคือสหายศักดิ์ หัวหน้าหน่วยที่เป็นเจ้าของส้มตำครกเด็ด ต้นเหตุให้ท้องเสีย

ส่วนตัวแกนั้น เป็นเพียงเหยื่อของสถานการณ์

รับทราบตามนี้ นะคร้าบ

แฮะ แฮะ แฮะ .

ตอนที่ 5. “วินัยเหล็ก”