สนุกกับชีวิต มิตรสหาย 196 โดย หมอทวี ตอนที่ 5. “วินัยเหล็ก”

สนุกกับชีวิต มิตรสหาย196 โดย หมอทวี ตอนที่ 5. "วินัยเหล็ก"

การทำงานมวลชนของบรรดาเหล่าสหาย ทหารปลดแอกประชาชนไทย หรือ ทปท. แท้ที่จริงก็คือการออกไปพบปะประชาชนผู้ทุกข์ยากเดือดร้อนจากการปกครองของรัฐบาล โดยเฉพาะชาวนา กรรมกร ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ตามแนวทาง “ชนบทล้อมเมือง แล้วยึดเมืองในที่สุด”ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

เพื่อชี้แจงให้เข้าใจถึงต้นเหตุใหญ่ของความยากจน ความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำซึ่งบทที่เรามักใช้กันคือ “ใครสร้าง ใครเลี้ยง” และจากนั้นจึงชี้ว่าใครคือศัตรู ใครคือมิตรของพวกเขา และโฆษณาแนวทางการต่อสู้ของพรรคและกองทัพปลดแอกไปด้วยในตัว

หลักการและขั้นตอนในการทำงานมวลชน ที่บรรดาสหายยึดกุมและใช้ปฏิบัติ ซึ่งใช้ได้ผลดีมาก ประกอบด้วย “ปรับทุกข์-ผูกมิตร-ปักหลัก-ชักชวน-จัดตั้ง” หลักการเหล่านี้ต่อมาฝ่ายความมั่นคงก็มีการนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานการเมืองนำการทหารของพวกเขาด้วยเช่นกัน

ในการทำงานมวลชน สหายทุกคนต้องมีความสำรวมตน รักษาบุคคลิกให้ดูน่าเชื่อถือและเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ไม่ทำเรื่องเสื่อมเสีย ในสมัยใหม่เขาก็เรียกว่าต้องรักษา”ภาพลักษณ์องค์กร” (Brand) เพราะสหายแต่ละคนที่ลงไปหามวลชนคือตัวแทนหรือฑูตของกองทัพปลดแอกและพรรคคอมมิวนิสต์ส กล่าวคือเป็นแบรนด์แอมบาสซอเดอร์ (Brand Ambassardor) ขององค์กรนั่นเอง

เครื่องมือที่สำคัญ คือวินัยสิบข้อของกองทัพ ซึ่งปรับมาจากของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้เป็นต้นตำรับ มีเพลงที่แต่งไว้สำหรับร้องปลุกใจ เตือนสติและจดจำได้ง่าย บรรดาสหายร่วมอุดมการณ์ในยุคนั้น ต่างร้องได้กันทุกคน

วินัยสิบข้อของ ทปท. ประกอบด้วย

  1. ปฏิบัติการทุกอย่าง ฟังคำบัญชา
  2. ไม่เอาข้าวของของประชาชน
  3. เคารพช่วยเหลือประชาชน พูดจาต้องสุภาพ
  4. ซื้อขายต้องเป็นธรรม ยืมของต้องคืน ทำของเสียหายต้องชดใช้
  5. ไม่ทำให้พืชผลประชาชนเสียหาย
  6. ไม่ดื่มสุราในเวลาปฏิบัติหน้าที่
  7. ไม่ดุด่าทุบตีผู้อื่น
  8. ไม่ลวนลามสตรี
  9. ไม่ทารุณเชลย
  10. สินสงครามต้องมอบให้ส่วนรวม

ในคราวหนึ่ง ราวๆปี2521 ในช่วงที่ผมมีภารกิจต้องกลับจากเขตหนองบัวแดง ขึ้นไปฐานที่มั่นภูเขียว และอยู่ที่นั่นติดต่อกันหลายสัปดาห์ พอดีช่วงนั้นสหายบนภูเขียวกำลังจะไปขนลำเลียงข้าวสารขึ้นมาจากทางเขตคอนสาน ผมจึงขันอาสาไปร่วม”เป้ข้าวสาร”กับเขาด้วย

การเป้ข้าวสารและสิ่งของอุปโภคบริโภค เป็นงานพื้นฐานที่สหายทุกคนต้องมีประสบการณ์มาด้วยกันทั้งนั้น เพราะเราไม่มีข้าวกินเพียงพอ ต้องลำเลียงขึ้นมาจากหมู่บ้านและในเมือง และยังต้องสำรองไว้เพื่อการสู้รบอีกด้วย

ข้าวสารบรรจุเต็มถุงปุ๋ย เมื่อมัดปากถุงแล้วก็ใช้”ผ้าข้าวม้า”คล้องจากปากถุง มาผูกไว้กับก้นถุงทั้งสองชาย เท่านี้ก็พร้อมที่จะสอดแขนทั้งสองข้างเข้าไปเพื่อบรรทุกขึ้นหลังของพวกเรา คล่องแคล่วกันมากเลยทีเดียว ถ้าถามว่าเข้าป่าหลายปีทำอะไรเป็นบ้าง เก่งที่สุดอย่างหนึ่งก็ต้องนี่เลย “เป้ข้าวสาร”

จากไร่นามวลชนเชิงเขา ขบวนแถวเหล่าสหายบรรทุกของเต็มหลัง บ่าทั้งสองข้างตึงเป๊ะด้วยน้ำหนักบรรทุก เดินผ่านเส้นทางที่ใช้ขนส่งลำเลียงเป็นประจำแบบกองทัพมด หนองไร่ไก่ ซำผักหนาม หินแผงม้า บึงแปน ….จนถึงทับที่ตั้ง เป็นอยู่อย่างนี้ แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแต่ไม่มีใครบ่นท้อถอย การเป้ข้าวสารขึ้นภูสูงและหน้าผาในแต่ละเที่ยว ได้ช่วยฝึกฝนร่างกายและจิตใจของพวกเราไปในตัว

ในคราวนั้น หน่วยจรยุทธ์ที่รับผิดชอบพื้นที่นั้นเป็นหน่วยของสหายชิด สหายช่วง สหายชอนและสหายสิงห์ กลางคืนวันหนึ่งมีนัดประสานงานกับมวลชนเพื่อการขนส่งลำเลียงอย่างที่ว่า ผมมีโอกาสได้ร่วมทีมไปพบปะมวลชนกะเขาด้วย อยากไปดูว่าสภาพงานมวลชนทางนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเขตหนองบัวแดงจะเป็นอย่างไร

ที่เถียงไร่มวลชนในคืนนั้น จำได้ว่ามีตัวผม (สหายทวี)สหายช่วงและสหายสิงห์ นั่งคุยกับมวลชนอยู่รอบกองไฟ ท่ามกลางอากาศที่เย็นเฉียบ เรื่องที่คุยคือการให้การศึกษาแก่มวลชนถึงการต่อสู้ปฏิวัติของพวกเรา มวลชนตื่นตัวมาก มีจิตสำนึกการปฏิวัติร่วมกับเราอย่างเต็มที่

คุยกันไปนานสองนาน มวลชนได้ของว่างมารับรองพวกเราเหล่าสหายแบบกินกันไปคุยกันไป มีทั้งหัวมันเผา ข้าวจี่ กล้วยน้ำว้าสุขเป็นเครือๆ และถั่วดินต้ม เท่านี้ก็เรียกว่าสุดยอดแล้ว ทำเอาสหายต่างพากันเปรี้ยวปาก แต่ก็ต้องสงวนท่าที่และรักษาภาพพจน์กันไว้หน่อย

สหายช่วง เริ่มคุยเปิดฉากเป๊ะรื่องประเทศนี้เป็นของใคร ใครเป็นผู้สร้าง ใครเป็นผู้เลี้ยงสังคมกันแน่ ผมก็ต่อด้วยการปฏิวัติบนหนทางปืนและแนวทางชนบทล้อมเมืองของพรรค

คุยกันไป สายตาก็เหลือบมองที่กล้วยสุขเครืองามๆ ในใจคิดว่า”ท่าจะหวานชื่นใจดีนะ” สามสหายต่างเหลือบมองไปที่ของขบเคี้ยวแล้วสบตากันอยู่บ่อยครั้ง ครั้นจะหยิบกินบ้าง ต่อหน้ามวลชนก็กลัวถูกมองว่าไม่เรียบร้อย เรียกว่าแทบไม่ได้แตะของที่มวลชนมาประเคนกันเลยก็ว่าได้

ส่วนสหายสิงห์เป็นสหายชาวนา ทำหน้าที่นั่งฟังอย่างเดียว ปล่อยให้สหายนักศึกษาสิงห์เหนือ(ช่วง คอนสาน) กับเสือใต้(ทวี หนองบัวแดง)ปลุกระดมมวลชนกันไป

ทันใดนั้นมีเสียงหมาเห่าอยู่ไกลๆ มวลชนจึงขอตัวไปดูว่ามีเหตุการณ์อะไรผิดปกติหรือไม่ แกไปดูพักใหญ่ เราก็รออยู่ว่าเมื่อไรจะกลับมา

ระหว่างนั้น ไม่รู้ว่าใครเริ่มหยิบของกินเป็นคนแรก แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น คนละหมุบคนละหมับ เล่นเอากล้วยสุขหนึ่งเครือ ถั่วดินต้มทั้งกาละมังและของขบเคี้ยวอื่นๆที่มวลชนเตรียมมาให้ ได้อันตระธานหายวับไปกับตา 

เป็นอันว่า … “เรียบร้อยโรงเรียนสหาย”

แหมนึกว่าจะแน่สักแค่ไหน…สู้อุตส่าห์รักษาภาพลักษณ์กันมาตั้งนาน!

ก็ของมันยั่ว…ตบะแตกหมดเลย!!

นานๆจะได้กินที ไม่ว่ากันนะครับ

ตอนดึกคืนนั้น พวกเราเดินจากมวลชนออกมา พร้อมกับแบกกล้วยสุขอีกเครือใหญ่เป็นของฝากกลับที่พักชายป่า มีเสียงสหายฮัมเพลง”วินัยสิบข้อ”กันอย่างคึกคักไปตลอดทาง.

หมายเหตุ

เรื่องนี้ ผมกับสหายช่วง (ดร.วีระพันธุ์ พรหมมนตรี ผู้จากพวกเราไปแล้ว) เมื่อมาทำงานพัฒนาชบบทร่วมกันในภายหลัง ยังจำเหตุการณ์กันได้ดี สบตากันเมื่อไรเป็นได้หัวเราะร่วน.