เวลาที่องค์กรนำมีคำสั่งให้พวกเรากลับขึ้นไปร่วมประชุม หรือมีพิธีการงานสำคัญบนฐานที่มั่นภูเขียว(196) สหายที่ทำงานในเขตจรยุทธ์ต้องวางแผนการเดินทางและใช้ระยะเวลารอนแรมเดินเท้ากันเป็นสัปดาห์ เพราะระยะทางไกลและต้องใช้เส้นทางไต่ไปตามสันเขาและป่าดง
เขตคอนสานและเขตหนองบัวแดงใช้เวลา 1 สัปดาห์ ส่วนเขตภูโค้งต้องใช้ 2-3 สัปดาห์กันเลยทีเดียว แต่พวกเรากลับไม่รู้สึกเป็นเรื่องที่ยากลำบากอะไรเลย ส่วนใหญ่จะดีใจที่จะได้ไปพักผ่อนในฐานที่มั่นที่ปลอดภัยเสียบ้าง อยู่ในเขตแนวหน้าเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่สู้รบ ก็คล้ายๆกับทุกวันนี้ที่เราใช้เวลาขับรถเที่ยวสบายๆไปพักร้อนในต่างจังหวัดนั่นแหละครับ
ในการเดินเท้าไปในเส้นทางป่าเขา ไม่ว่าจะเดินทางไปทำงานมวลชน ไปสู้รบ หรือไปพักผ่อนบนฐานที่มั่น สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดคืองูจงอางครับ หนึ่งเป็นเพราะเรามักต้องเดินผ่านหรือพักแรมในป่ารวกหรือป่าคาย ซึ่งใบของมันที่ร่วงหล่นมาปกคลุมไปตามทางที่เราเดิน ทำให้มองไม่ค่อยเห็นว่ามีมันกำลังเลื้อยอยู่หรือเป็นรังของมันหรือเปล่า สองคือพิษมันร้ายแรงมาก เราไม่มีเซรุ่มแก้พิษ คงตายแหงแก๋


คราวหนึ่งเรากำลังเดินทางผ่านป่าโคกที่ร้อนระอุ เพื่อไปทำงานมวลชนแถบตีนภูแลนคา ปกติเราเดินเป็นแถวตอนเรียงเดี่ยว มีเสียงเอะอะเกิดขึ้นจากส่วนหน้า สหายส่งสัญญาณว่าพบสิ่งผิดปกตินิดหน่อยขอให้นั่งพักรอการสืบสภาพสักครู่ เสียงเอะอะยิ่งดังขึ้นๆ สักพักใหญ่จึงสงบลง ส่วนหน้าที่นำโดยลุงแจ่มกลับมารายงานว่า
“ได้งูเหลือมตัวใหญ่เป็นอาหารมื้อค่ำ ครับสหาย!”
สหายแจ่ม เป็นสหายชาวนาแห่งบ้านบุสีเสียด เป็นชาวไทเดิ้ง เข้ามาอยู่ป่าพร้อมกับภรรยาชื่อสหายรับ(ป้ารับ) คล้ายๆกับกรณีของสหายวากับป้าวรรณ คือเข้ามาทั้งผัวเมีย ทั้งคู่ไม่มีลูกจึงทำงานคล่องตัวมาก ลุงแจ่มเป็นสมาชิกในหน่วยของเรา ตาแกเสียไปข้างหนึ่งจึงมีฉายาว่า”แจ่ม ตาเดียว” แกชอบสูบยาเส้นมวนด้วยใบตองแห้ง พูดจาติดตลกสนุกสนาน พวกเราทุกคนรักแกมาก
ในเหตุการณ์วันนั้น ทำให้ผมได้เห็นศักยภาพและขีดความสามารถเฉพาะตัวของสหายร่วมทีมมากขึ้นว่า สหายชาวนาท้องถิ่นแต่ละคนต่างมีภูมิปัญญาที่มีคุณมากเหลือเกิน อย่างเช่นความสามารถในการยังชีพอยู่ในชนบทป่าเขา รวมทั้งการจับงูมาเป็นอาหาร ซึ่งพวกเราที่เป็นคนเมืองไม่มีทางสู้ได้เลยในเรื่องเหล่านี้
นอกจากจะจับงูเหลือมแล้ว สหายแจ่มแกไม่กลัวงูชนิดใดเลย ไม่ว่าจะเป็นงูเห่า งูจงอาง งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ งูสิงห์ งูสามเหลี่ยม เพราะตลอดเวลาหลายปีที่อยู่ป่าด้วยกันแกหามาเป็นอาหารจานเด็ดให้ผมกินครบหมดทุกชนิดก็ว่าได้
ผมเข้าใจว่าในตัวของลุงแจ่ม แกคงมีภูมิต้านทางพิษงูสารพัดชนิดอยู่ในกระแสเลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ อันเกิดมาจากชอบจับงูมาแต่ไหนแต่ไร คงได้รับพิษเข้าไปสะสมและเกิดภูมิต้านทานจนมากเพียงพอที่จะสู้พิษได้ เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก นอกจากนั้นผมยังเคยได้เห็นแกกระโดดลงไปไล่จับงูเห่าในบ่อน้ำด้วยสองมือเปล่ามาแล้ว!!
นอกจากนั้น เราได้รู้ว่าสหายแจ่ม แกยังมีความรู้เรื่องสมุนไพรแก้พิษงูเป็นอย่างดีอีกด้วย
จากวันนั้นเป็นต้นมา ผมจึงรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก เพราะเรามีผู้เชี่ยวชาญเรื่องงูพิษต่างๆอยู่กับเรา
เป็นหมองูประจำหน่วยจรยุทธ์
ลุงแจ่มและป้ารับ เป็นสหายสองผัวเมียอีกคู่หนึ่งที่ผมสนิทสนมมากที่สุด แกก็เป็นห่วงเป็นใยผมมากเป็นพิเศษเสียด้วย เราจึงผูกพันกันมาก
วันหนึ่งผมจึงกระเซ้าแกว่า
“ลุงแจ่มครับ ผมจะตั้งฉายาให้ลุงใหม่จะดีไหม”
” แจ่ม จงอางสะอื้น!! “
สหายแจ่มหัวเราะแหะๆๆๆๆ ส่งเสียงดัง
ว่าแล้วก็ควักยาเส้นออกมามวน ตามสไตล์ !