นานวันเข้า สถานการณ์สู้รบในพื้นที่เขตงาน196 โดยรอบภูเขียวและป่าดงข้างเคียงมีความดุเดือดขึ้นทุกที บนภูเขียวมีการเคลื่อนย้ายกองกำลังทหารหลักจากเขตภูซางส่วนหนึ่งมาประจำการ มีทั้งมวลชนและสหายนักรบ ทปท.ที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์โชกโชน เข้าใจว่าเป็นมติของฝ่ายนำในระดับสูงที่มีแผนยุทธศาสตร์ใหม่ๆเกิดขึ้น
ด้านหนึ่งทำให้พวกเรา สหายนักศึกษาและสหายชาวนาที่นี่ เกิดความมั่นใจขึ้นเยอะว่า บัดนี้จะได้มีกำลังรบมาช่วยทำศึกและต้านทานการล้อมปราบที่มีกระแสข่าวกันมาโดยตลอด แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้จำนวนประชากรบนภูเขียวเพิ่มมากขึ้นจนเกิดภาระต่อการผลิตและการลำเลียงเสบียงอาหารขึ้นไปหล่อเลี้ยง
เมื่อพิจารณาประกอบกับความเข้มแข็งของงานมวลชนในเขต21ที่เติบโตขึ้นมาก และมีภูมิประเทศหลังอิงที่เป็นป่าเขาอันสลับซับซ้อนและอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งเสียงเรียกร้องของครอบครัวมวลชนที่อพยพขึ้นมาจากที่นั่นก็ประสงค์จะลงไปสร้างฐานที่มั่นสำรองเป็นแห่งที่สอง ดังนั้นองค์กรนำจึงมีมติให้เคลื่อนย้ายครอบครัวมวลชนจำนวนหนึ่งกลับไปบุกเบิกที่มั่นในเทือกเขาพญาพ่อ โดยให้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสหายมานะ
การเดินทัพทางไกลขบวนน้อยๆจึงเริ่มต้นขึ้น จาก “บึงแปน” บนภูเขียวปลายทางที่ “ดงโค่โล่ะ” ในหุบเขาพญาพ่อ ระยะทางขึ้นๆลงๆและคดเคี้ยวไปมา รวมแล้วประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรเห็นจะได้ ต้องใช้เวลาเดินทางร่วมเดือน



มันเป็นขบวนแถวของมวลชนแบบกองพะรุงพะรัง มีทั้งเด็กน้อย คนแก่และผู้หญิงแม่บ้าน กว่าสิบครอบครัว แต่ละครอบครัวต่างพากันหาบข้าวของสัมภาระกันกระโตงกระเต็ง กองกำลังทหารที่คุ้มกันไปในคราวนั้นมีเพียงหนึ่งหมวดเศษๆเท่านั้น
น่าจะนับได้ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นคือลองมาร์ชในชีวิตจริงของพวกเราเหล่าสหาย นับเป็นบันทึกประวัติศาสตร์หนึ่งในหลายๆหน้าของการต่อสู้ปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในเขตงานภูเขียวเลยทีเดียว
ด้วยเหตุที่ขบวนพะรุงพะรังของเรามีสภาพสู้รบที่ต่ำมาก จึงต้องค่อยๆเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง หน่วยนำทางต้องแสวงหาเส้นทางใหม่ๆที่ลึกลับแบบไม่มีใครเขาใช้กัน ยากลำบากหน่อยก็ต้องเอา เพราะกลัวเสียลับระหว่างทางหรือหากเกิดเหตุปะทะกันกลางทางคงโกลาหล
บางช่วงดีหน่อยที่หน่วยหน้าตัดป่าไปเจอเส้นทางเดินของช้างป่าเข้าและสามารถเดินตามรอยมันไป ไม่ว่าจะเป็นรอยเก่าและรอยใหม่ เพราะเราจะเดินกันได้สะดวกหน่อย เราเย้าแหย่กันเล่นว่า
“บริษัทเอราวัณการทางเขาทำไว้ให้ โชคดียัง!”
แต่ในใจ ผมก็ยังทึ่งอย่างเหลือเกินว่า สหายท้องถิ่นเขาสามารถนำพาพวกเราเดินตัดป่าข้ามเขาไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างแม่นยำได้อย่างไร โดยไม่ลงเดินผ่านที่ราบเลย
ในคราวนั้น เรามีสหายท้องถิ่นเป็นผู้นำทางและเป็นผู้พิทักษ์ความปลอดภัยของขบวนพ่อแม่พี่น้องมวลชนของเขาเอง อาทิ สหายสอง สหายทีป สหายวีป สหายหนา สหายสน สหายคม สหายเคียว สหายเพ็ญ สหายนภา สหายอาทิตย์ สหายวีระ และ ฯลฯ สหายเหล่านี้ล้วนเป็นคนท้องถิ่นที่เติบโตและหากินอยู่กับป่าแถวนี้จนช่ำชอง
ก่อนถึงกำหนดวันออกเดินทาง มวลชนต่างเตรียมเสบียงอาหารสำหรับการเดินทาง ข้าวสาร พริกและเกลือเป็นปัจจัยหลัก นอกนั้นใครมีปลาร้า ปลาเค็ม เนื้อย่าง หรืออื่นใดก็พากันขนเอาไป ข้างหน้าไม่รู้จะมีอะไรกินกัน
ผมไปเยี่ยมครอบครัวของสหายสองและแม่ยวน เห็นแกกำลังง่วนทำอะไรบางอย่าง เอาน้ำตาลและเกลือผสมกัน ตั้งไฟเคี่ยวนข้นและแห้งขอด ใส่ผงชูรสเข้าไปช้อนใหญ่ เมื่อมันจับเป็นก้อนสีน้ำตาลอ่อนๆ ส่งกลิ่นไหม้นิดๆก็ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วบรรจุห่อไว้เป็นเสบียงสำหรับเดินทาง ผมสงสัยว่าเป็นยาหรืออาหารประเภทใดกันแน่ จึงสอบถาม แต่แกไม่ยอมตอบ หากพูดตัดบทด้วยความเอ็นดูว่า “เอาเถอะน่าหมออย่าเพิ่งมาถามเลย เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
สหายสองผู้นี้ก็คือลุงหก อดีตพรานใหญ่ที่เป็นผู้นำพาหน่วยจรยุทธ์ของเราไปบุกเบิกงานมวลชนเขตหนองบัวแดงในครั้งแรกคนนั้นแหละ ต่อมาแกเข้าป่ามาร่วมต่อสู้กับพรรค ทั้งยังพาลูกหลานเข้ามาเป็นทหารปฏิวัติเป็นจำนวนมาก พวกเราเรียกติดปากกันว่า”พ่อสอง”
การเดินทางในช่วงวันหลังๆ เสบียงอาหารหร่อยหรอลงมาก ไม่มีกับข้าวกับปลาเหลืออยู่อีกแล้ว จะหานกหาปลาก็ไม่มีที่ จะมีก็แต่หยวกกล้วยป่า หน่อไม้และเห็ดป่าบ้าง ที่นำมาปรุงกับพริกป่นและเกลือพอเป็นกับข้าวแก้ขัดกันไปเป็นมื้อๆ
พ่อสองสังเกตุเห็นว่าผมกินข้าวเปล่าๆคงไม่อร่อย แกจึงควักก้อนวิเศษอย่างหนึ่งออกมานำเสนอ
“ลองนี่ซิหมอ!”
ผมจำได้ว่ามันคือก้อนเกลือและน้ำตาลที่แกเคี่ยวอยู่เมื่อวันก่อนนั่นเอง
ว่าแล้วแกก็เอาก้อนวิเศษมาผสมน้ำ ใส่พริกป่นลงไปหน่อย มันกลายเป็นน้ำปลาพริกรสเด็ดในบัดดล เมื่อมีผักป่าลวกร้อนๆก็กลายเป็นกับข้าวมื้ออร่อย
ในใจนึกชื่นชมว่าคนท้องถิ่นเขามีภูมิปัญญาในการจัดการเสบียงอาหารในการเดินป่าแบบนี้นี่เอง
ผมจึงแหย่ไปว่า
“พ่อสองครับ ตั้งชื่อน้ำปลาก้อนๆของพ่อยี่ห้อนี้ รึยัง “
….
แล้วผมก็ตั้งชื่อให้ว่า
“น้ำปลาตราสองนคร !”
พวกสายหายพากันหัวเราะครื้นเครง เพราะทุกคนรู้ดีว่า
ชื่อจริงของพ่อหกหรือสหายสอง ก็คือ นายสองเมือง นั่นเอง !!