มติสมัชชาสุขภาพ : ตัวอย่างของ “นโยบายสาธารณะโดยสังคม”

พลเดช  ปิ่นประทีป

เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ

เขียนให้โพสต์ทูเดย์ / วันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561

แต่ก่อนเวลาเราพูดถึง “นโยบายสาธารณะ” เรามักจะนึกถึงแต่นโยบาย แผนงาน โครงการ หรือ กฎระเบียบอะไรก็ตามที่ออกมาโดยองค์กรภาครัฐ คือรัฐบาล หน่วยราชการหรือรัฐสภา ในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่กำหนดหรือตัดสินใจทางนโยบาย เท่านั้น

แต่จากประสบการณ์ 10 ปีของ สช.(สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ หน่วยงานในกำกับของนายกรัฐมนตรี) เราพบว่าในกระบวนการส่งเสริม-สนุนสนุนการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมนั้น ยังมีนโยบายสาธารณะอีกแบบหนึ่งที่สังคมและชุมชนท้องถิ่น สามารถกำหนดและจัดทำกันได้เอง โดยไม่ต้องรอคอยหรือพึ่งพาอำนาจจากภายนอก

ตัวอย่างรูปธรรมในเรื่องนี้ได้แก่

  1. การมีฉันทมติของที่ประชุมสมัชชาสุขภาพ
  2. การประกาศใช้ธรรมนูญสุขภาพของชุมชน และ
  3. การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพของภาคประชาชน

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลงานและภารกิจหลักของ สช.ตาม พรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550

นโยบายสาธารณะเหล่านี้ ล้วนเป็นนโยบายในเชิงส่งเสริม สนับสนุนและเติมเต็มให้กับการดำเนินงานตามแผนงาน โครงการพัฒนา และการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานภาครัฐทั้งสิ้น

อีกนัยหนึ่ง นับเป็นรูปธรรมของแนวคิดแนวทางหรือหลักการที่เราเรียกกันว่า“การมีส่วนร่วม”นั่นเอง หากแต่เป็นการมีส่วนร่วมในเชิงคุณภาพ ไม่ใช่แค่ส่วนร่วมเชิงพิธีกรรม จึงอาจเรียกว่านโยบายสาธารณะ โดยสังคม เพื่อสังคม และของสังคม”

 

อย่างเรื่อง “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ” ที่กำลังเป็นที่สนใจของรัฐบาลและสื่อมวลชนอยู่ในขณะนี้ ก็เริ่มต้นจากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2555 ว่าด้วย “พระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ” ต่อมาด้วยกระบวนการขับเคลื่อนมติอย่างต่อเนื่องของภาคีเครือข่าย ลองผิดลองถูก ทำไปเรียนรู้ไป นานถึง 5 ปี จนในที่สุดได้รับการยอมรับและจัดทำเป็นธรรมนูญพระสงฆ์แห่งชาติขึ้น ภายใต้การสนับสนุนของมหาเถรสมาคม

 

ทั้ง “มติสมัชชาว่าด้วยพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ” และ “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ” ต่างเป็นนโยบายสาธารณะโดยสังคมอย่างที่กล่าวข้างต้น  ซึ่งเมื่อมีการพัฒนามาถึงขั้นนี้ งานโครงการวัดสร้างเสริมสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข  งานโครงการหมู่บ้านศีลห้าของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  งานโครงการ บ-ว-ร ของกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงมหาดไทย ฯลฯ ต่างก็ได้รับผลานิสงส์ไปโดยปริยาย เพราะสังคมลุกขึ้นมาช่วยกัน ไม่ปล่อยให้ภาครัฐขับเคลื่อนกันตามลำพังอย่างแต่ก่อน

 

ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา สมัชชาสุขภาพแห่งชาติได้มีมติสะสมทั้งหมด 77 มติ  ซึ่งแบ่งเป็นด้านการแพทย์และสาธารณสุข 34 (ร้อยละ44) และด้านสังคม 43 (ร้อยละ 56)

สามารถกล่าวได้ว่า ทุกมติ(ร้อยละ 100) มีการขับเคลื่อนไป ไม่มีหยุดนิ่ง มากบ้างน้อยบ้างก็ตามความยากง่ายของประเด็นและตามศักยภาพ-ความพร้อมของภาคีเครือข่ายผู้ขับเคลื่อน ซึ่ง สช.เป็นเพียงผู้คอยสนับสนุนกระบวนการทำงานและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เท่านั้น

สช.ได้เรียนรู้จากการทำงานใน3 สถานการณ์ความจริง ได้แก่ 1) ภาคีเครือข่ายและสังคม ต่างมีความคาดหวังอย่างสูงว่าทุกมติสมัชชาฯจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่ยังมีหลายมติที่ขาดเจ้าภาพขับเคลื่อนที่เอาการเอางาน  2) มติที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกปี ทำให้มีปริมาณสะสมจนรู้สึกว่า ดูเหมือนไร้ทางออก ปลายปิด ไม่ครบวงจร 3) การบริหารจัดการยังไม่มีรูปแบบ ระเบียบวิธีและขั้นตอนที่ชัดเจน

 

ในเรื่องนี้ ทั้ง สช. และคณะกรรมการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คมส.) ได้ช่วยกันศึกษาค้นคว้าเพื่อหาทางออก ในที่สุดได้พัฒนามาเป็นโมเดล รูปแบบบริหารการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพที่ครบวงจรและมีประสิทธิผล

โดยแบ่งกลุ่มมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติทั้งหมดออกเป็น 5 ประเภท ตามขั้นตอน พัฒนาการและแนวทางการขับเคลื่อน ได้แก่

        กลุ่มมติสะสมทั้งหมด (T : Total) หมายความว่า เป็นจำนวนรวมของมติสมัชชาสุขภาพทั้งหมด ที่สะสมมาตั้งแต่สมัชชาครั้งที่ 1 จนถึงปัจจุบัน

 

      กลุ่มมติที่กำลังขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง (O: On-going) หมายความว่า เป็นกลุ่มมติสมัชชาฯ ที่ภาคีเครือข่ายกำลังดำเนินการขับเคลื่อนกันอย่างต่อเนื่อง  สามารถแบ่งได้เป็น 3กลุ่มย่อย ซึ่งทั้งหมดนี้ คมส.และ สช.จะได้เอาใจใส่ติดตาม ผลักดันกันต่อไป

O1- กลุ่มมติใหม่ ที่มีอายุไม่เกิน 2ปี

O2- กลุ่มมติที่มีกระบวนการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

O3- กลุ่มมติที่มีความเร่งด่วน

 

       กลุ่มมติที่บรรลุผลตามเป้าหมายแล้ว (A : Achieved)หมายความว่า เป็นกลุ่มมติที่สามารถขับเคลื่อนไปได้ก้าวหน้ามาก จนบรรลุผลตามเป้าหมายและเจตนารมณ์ของ“ข้อมติ”โดยส่วนใหญ่หรือทั้งหมดแล้ว  ซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้ 1) บรรลุเป้าหมายตามข้อเสนอมติครบทุกข้อแล้ว  2) มีผลลัพธ์สำคัญตาม Road map 3) มีแผนงานหรือนโยบายของหน่วยงานหลักมารองรับ  4) มีพื้นที่รูปธรรมในการดำเนินงานเกิดขึ้นให้เห็นเป็นต้นแบบแล้ว อย่างน้อย  5-10 แห่ง

 

         กลุ่มที่ต้องทบทวน ( R: To be Revisited)  หมายความว่า เป็นกลุ่มมติที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป แต่ยังมีการเคลื่อนไหวก้าวหน้าไปได้น้อยมาก หรือหยุดนิ่ง หรือ พบว่ามีเงื่อนไขบางประการที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว โดยคมส.มีมติเห็นสมควรให้นำกลับมาปรับปรุง หรือ ต่อยอด หรือขยายผลไปสู่ประเด็นใหม่ที่สอดคล้องหรือครอบคลุมมากกว่าเดิม  ซึ่งคมส.และสช.จะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติต่อไป

 

         กลุ่มสิ้นสุดการดำเนินการ ( E: End-upหมายความว่า เป็นกลุ่มมติที่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติได้มีฉันทมติให้ยุติ เนื่องจากพบว่าไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือ มีมติใหม่ที่สามารถครอบคลุมหรือทดแทนได้แล้ว หรือ สามารถดำเนินการโดยหน่วยงานรัฐและกลไกสนับสนุนที่ร่วมกันสร้างขึ้นใหม่อย่างเพียงพอแล้ว

 

จากการประเมินความก้าวหน้าของมติทั้งหมด 77 มติในเบื้องต้น  พบว่าเป็นมติที่กำลังดำเนินการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง จำนวน 49 มติ(ร้อยละ64  ) ในจำนวนนี้ เป็นมติใหม่ 8,  มติขับเคลื่อนต่อเนื่อง 20 และมติที่มีความเร่งด่วนและท้าทาย  21

มีมติที่บรรลุเป้าหมายแล้ว จำนวน 18 มติ (ร้อยละ23 )  มีมติที่จะเสนอเข้าทบทวนในสมัชชาฯครั้งที่ 11 จำนวน 4 มติ (ร้อยละ 5 ) และมีมติที่สามารถยุติการติดตามผลักดันได้แล้ว 6 มติ (ร้อยละ 8)

จึงขออนุญาตรายงานต่อสาธารณะครับ.