“เหลียวหลังแลหน้า สมัชชาสุขภาพ” คุยกับเลขาธิการ (31)

แม้ผมจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลักดัน พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติมาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งเมื่อมีสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)

และมีเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเกิดขึ้นแล้วถึง 7 ครั้ง ก็แทบไม่เคยได้เข้ามาร่วมกระบวนการพิจารณามติสมัชชากับเขาเลยสักหน

สมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 8/2558 จึงนับเป็นครั้งแรกที่ได้ผมมีโอกาสเข้าร่วมงานประชุมตลอดกระบวนการ เนื่องจากถึงเวลาต้องเข้ามาเตรียมตัวรับไม้ต่อมือ จากท่านเลขาธิการคนก่อน

ในเวลานั้น มีสถานการณ์ปัญหาใหญ่ที่รออยู่เบื้องหน้าอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ

  1. กระแสการตรวจสอบเข้มองค์กรตระกูล ส.และองค์การมหาชนทั้งกระดาน
  2. ภาพลักษณ์สมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่ถูกมองว่าเป็นเวทีของ NGO ซึ่งภาครัฐขยาด ภาคธุรกิจไม่ให้ราคา ภาควิชาการจำกัดอยู่ในวงแคบ และภาคการเมืองไม่ buy-in
  3. มติสมัชชาที่ผลิตออกมา ขับเคลื่อนไม่ออก ฝ่ายนโยบายข้างบนมีท่าทีแค่”รับรู้รับทราบ”เท่านั้น

สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 9-10-11 ถือเป็นช่วงที่ สช.และภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันฟันฝ่า ข้ามภูเขา 3 ลูกดังกล่าว ด้วยการทุ่มเทสติปัญญา เร่งสร้างคุณค่าของงานสมัชชาและปรับภาพลักษณ์ สช.ครั้งใหญ่ ในขณะเดียวกันก็เร่งขยายเครือข่ายพันธมิตรการทำงานออกไปพร้อมกันใน 4 ระดับ คือ พันธมิตรนโยบาย-ยุทธศาสตร์-ปฏิบัติการ-ต่างประเทศ

เราได้พยายามฉายภาพเครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัดให้เด่นชัดขึ้นมา จนคนเริ่มมองเห็นศักยภาพของ สช.ที่ฝังตัวอยู่ทั่วประเทศ จนสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆมาได้ และเกิดผลลัพธ์งานและผลพลอยอื่นๆได้ตามมาอีกมากมาย

เมื่อคราวสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 9 สช.เริ่มส่งสัญญาณ “มิตรภาพที่เปิดกว้าง” ปรับกระบวนการ ท่าที และบรรยากาศงานสมัชชาโดยรวม ลบล้างภาพเวที “กดดัน” เปลี่ยนเป็นเวที “สานพลัง”ในความหมายที่แท้ เสริมด้วยการเดินสายเคาะประตูหน่วยงานนโยบายหลายกระทรวงเพื่อประสานความร่วมมือ

ในเชิงโครงสร้าง สช.ได้ใช้ความพยายามในการปฏิรูประบบตัวแทนกลุ่มเครือข่ายอันเป็นฐานที่มาของสมาชิกสมัชชาที่มีคุณภาพ ให้ครอบคลุมภาคี   “3พลัง- 2 มิติ” อย่างมีหลักการเหตุผลและความสมดุล อันประกอบด้วย ตัวแทนพลังภาควิชาการ ภาคสังคม ภาคนโยบาย และ ตัวแทนในมิติเชิงประเด็นและเชิงพื้นที่

ส่วนปัญหาการขับเคลื่อนมติที่ยัง “ไม่ไปหน้ามาหลัง” จำนวนมติสมัชชาสะสมเพิ่มขึ้นทุกปีจนใกล้ถึงทางตัน เราค้นพบรูปแบบการขับเคลื่อนมติใน 3 แนวทาง ซึ่งสามารถดำเนินการไปได้พร้อมๆกัน คือ การเคลื่อนขึ้นบน (ส่งเข้าสู่ ครม.) เคลื่อนแนวระนาบ  (โดยมี คมส. เป็นกลไกประสาน) และเคลื่อนลงล่าง (โดยเครือข่ายพื้นที่นำไปปฏิบัติ) ทำให้ภาคีเครือข่ายสามารถจัดการด้วยตนเองได้เพิ่มขึ้นอีกมากโข

มาถึงวันนี้ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติและเครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัดทั่วประเทศ สามารถยืนได้อย่างมั่นคงด้วยขาสองข้างของตนเองในระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งยังมีสถานภาพกลายเป็นเครื่องมือของประเทศที่กระทรวงต่างๆ รวมทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน เล็งเห็นคุณค่าและเข้ามาใช้ประโยชน์

แม้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและสภาพัฒน์เอง ซึ่งเป็นฝ่ายวางแผนพัฒนาประเทศก็มอบหมายให้สมัชชาสุขภาพ ช่วยขับเคลื่อนเวทีสร้างการรับรู้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกจังหวัด

ในอีกสถานะหนึ่ง สมัชชาสุขภาพได้ค่อยๆกลายเป็น “บ้านหลังใหญ่” ของขบวนการประชาธิปไตยทางตรงและประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมไปโดยปริยาย ที่นี่จึงเป็นที่ที่จะเกิดการพบปะ แลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีปฏิสัมพันธ์กัน ระหว่างขบวนของการเมืองภาคพลเมืองและการเมืองระบบตัวแทน รวมทั้งพรรคการเมืองและภาคราชการทั้งหลาย โดยมีประเด็นนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพเป็นตัวตั้ง

ทิศทางข้างหน้าของสมัชชาสุขภาพ คือ การแต่งเติมเสริมต่อบ้านหลังใหญ่หลังนี้ ให้มั่นคงแข็งแรงด้วยด้วยหลักการแนวคิดและกระบวนการสร้างสรรค์นโยบายสาธารณะในรูปแบบของ มติสมัชชา (NHAขาขึ้น) ที่มีความ “ศักดิ์สิทธิ์” สร้างกระบวนการขับเคลื่อนมติสมัชชา (NHAขาเคลื่อน) ที่มี “ผลสัมฤทธิ์” และสร้างกระบวนการประเมินและแสดงผลการขับเคลื่อน (NHAขาประเมิน) ที่มี “ประสิทธิภาพ”.

พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, กุมภาพันธ์ 2562

Photo credit cover Designed by rawpixel.com / Freepik