พ.ศ. 2521 ณ บ้านบ่อทอง ตำบลถ้ำวัวแดง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ค่ำวันหนึ่งในฤดูแล้ง ขณะที่หน่วยจรยุทธ์งานมวลชนของเขตงาน 196 เคลื่อนจากภูพังเหย มาหยุดอยู่ที่ชายดงตีนภูพญาพ่อ บริเวณเขาปากช่องลำน้ำเจียง
ยังไม่ทันได้พักหายเหนื่อย พี่เพลิน แกนนำมวลชนจากหมู่บ้านบ่อทอง พลันเข้ามาหา ซึ่งอันที่จริงแกมารอท่าอยู่ก่อนแล้วตามที่ได้นัดหมายกันล่วงหน้า
การที่ต้องนัดพบมวลชนก็เพื่อเป็นการส่งข่าว รายงานสภาพการณ์ความเคลื่อนไหวของข้าศึกและส่งเสบียงอาหารกันตามปกติ
แต่คราวนี้กลับไม่ปกติ เพราะพี่เพลินรายงานอย่างระล่ำระลักว่า มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งกำลังปวดท้องคลอดอยู่ในภาวะวิกฤติ ติดขัดอยู่อย่างนั้นมาสามวันสามคืนแล้ว เสียเลือดไปมากจนสลบไปหลายรอบ อาการเจียนตาย คนไข้เป็นญาติพี่น้องของสหายท้องถิ่นเสียด้วย
“สหายหมอจะเข้าไปช่วยได้ไหม”
เมื่อได้ซักถามถึงสถานการณ์การเคลื่อนไหวของข้าศึก เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจและวางแผน
มวลชนบอกว่า
“พวกมันก็มาลาดตระเวนตามปกติอย่างนั้นแหละ ชาวบ้านสามารถช่วยกันดูต้นทางได้”
แม้รู้ดีว่ามันมีความเสี่ยง ข้าศึกอาจจะเข้ามาจ้ะเอ๋ได้ตลอดเวลาที่เข้าไปช่วยรักษาคนไข้
สหายหมอทวีตัดสินใจขันอาสาจะเข้าไปช่วยชีวิตชาวบ้านให้ได้ก่อน โดยใช้วิธีการปลอมตัวเข้าไปกันเพียงสองคน ในสภาพที่ไม่ติดอาวุธไปแม้แต่ชิ้นเดียว
ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะต่อสู้กันด้วยอาวุธ ที่อาจจะเกิดขึ้นในใจกลางหมู่บ้าน
วันนั้น สหายทวีกับสหายประเสริฐ อาสาไปปฏิบัติการด้วยสองมือเปล่า หมอทวีไม่ลืมที่จะหยิบเอาเข็มแทงรักษาโรคตามตำราแผนจีนติดมือไปด้วยหนึ่งชุดเพราะไม่มีหยูกยาและอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ชิ้นใดอยู่เลย
ในใจของเขาคิดว่าวันนี้อาจจะได้ทดลองแทงเข็มจุดกระตุ้นมดลูกเร่งการคลอดดูสักที ตามที่เพิ่งได้ศึกษาค้นคว้าวิชาด้วยตนเองหมาดๆ จากตำราฐานที่มั่นเขาค้อที่ได้รับมา
เมื่อเดินทางมาถึงในหมู่บ้าน มันเป็นคืนวันเพ็ญ พระจันทร์เต็มดวง แต่บ้านป่าบ้านดงหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ช่างเงียบสนิท ไม่มีไฟฟ้า มีแต่แสงจากตะเกียงน้ำมันก๊าดวิบแวมภายในกระท่อมบางหลัง มีเสียงหมาเห่ารับกันเป็นช่วงๆ อันเป็นปกติวิสัยของหมู่บ้านป่า เมื่อมีวัยรุ่นเดินผ่านไปมาในชุมชน
เมื่อรอจนแน่ใจว่า วันนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวของข้าศึกที่แตกต่างจากสภาพปกติ แกนนำมวลชนพาสองสหายเข้าไปในบ้านของคนไข้ ภาพที่ปรากฏเห็นในห้องแคบๆ เป็นหญิงครรภ์แก่คนหนึ่ง นอนนิ่งในท่าหงาย มีกองเลือดเขรอะอยู่ในช่วงสะโพกและท่อนล่างลงมาจนถึงปลายเท้า แสงตะเกียงริบหรี่ช่วยลดความอุจาดตาได้มาก
แต่สิ่งที่เห็นไม่ได้ทำให้สหายหมอทวีแปลกใจนัก เพราะเขาสามารถจินตนาการไว้ล่วงหน้าถึงสภาพคนไข้ “obstructed labour” หรือ ภาวะการคลอดติดขัดที่อยู่ในภาวะเสี่ยง จะนำไปสู่การเสียชีวิตทั้งแม่ทั้งลูก
เขาปราดเข้าไปตรวจอาการคนไข้ทันทีตามสัญชาตญาณแห่งวิชาชีพ แม้เขาจะมีเพียงความเป็นอดีตนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ห้าที่ยังไม่มีประสบการณ์ เขาตรวจสัญญาณชีพ พบชีพจรยังคงเต้นอยู่อย่างแผ่วๆ คนไข้ไม่รู้สึกตัว และที่สำคัญ มดลูกไม่มีปฏิกิริยาการบีบรัดตัวเอาเสียเลย

เมื่อได้ประมวลประวัติเบื้องต้นมาประกอบ จึงทราบว่าคนไข้ ชื่อ นางจ่อม นามสกุลหาสีเสียด อายุประมาณ 25 ปี เป็นแม่ท้องที่สอง มีเลือดและน้ำคาวปลาออกมาได้สามวัน มีแรงเบ่งเป็นพักๆ ห่างๆ แต่ไม่สามารถคลอดได้ จนทุกคนพากันหมดความหวังไปแล้ว
หมอทวีได้ปรึกษาสามีผู้ป่วยและญาติพี่น้องที่นั่งเฝ้าดูใจกันอยู่สามสี่คนในห้องนั้นว่า
” ภายในหมู่บ้านมีน้ำเกลือฉีดเข้าเส้นที่พอจะหาได้เร็วที่สุดจากที่ไหนบ้างไหม ผมอยากได้สักสองถุง ถุงเล็ก (500cc) หรือใหญ่ (1,000cc) ก็ได้ ”
เสียงญาติพี่น้องและแกนนำมวลชนพากันปรึกษากันพึมพำ สักพักก็ได้คำตอบลอยมาว่าน่าจะพอมีทาง เขาจึงบอกให้รีบไปเอามาให้เร็วที่สุด
“อย่าลืมเอาสำลี แอลกอฮอล์และพลาสเตอร์ ติดมือมาด้วยนะครับ”
จากนั้นจึงตรวจอาการคนไข้โดยละเอียด ซึ่งทำให้เขาพบข้อมูลเพิ่มเติมที่ทำให้ใจชื้นขึ้นมา กล่าวคือท่าของเด็กในครรภ์อยู่ในสภาพเอาหัวลงเป็นปกติดี หมายความว่า ไม่มีปัญหาทารกท่าขวางหรือท่าใช้เท้าลง อันเป็นท่าคลอดยาก ตามที่ได้ร่ำเรียนมาจากตำราในห้องเล็คเช่อร์
แม้ว่าคนไข้เสียเลือดไปมากก็จริง แต่เป็นเพียงการไหลซึม ไม่ถึงกับไหลทะลัก เขาจึงวินิจฉัยโรคอยู่ในใจในตอนนั้นว่า น่าจะเป็นเพียง “uterine atony” หรือ ภาวะมดลูกหมดแรงบีบ เท่านั้น จึงยังอยู่ในวิสัยที่จะช่วยได้

ระหว่างรอน้ำเกลือที่จะใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เขาใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าเช็ดตา ทำความสะอาดตามเนื้อตัวของคนไข้เพื่อเรียกความสดชื่น ทุกคนภายในห้องเงียบกริบสายตาทุกคู่จ้องดูการทำงานของหมอทหารป่าอดีตนักศึกษา พลพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ทางการต้องการตัวและเข้ามาสืบหาข่าวอยู่ทุกวัน ในใจของพวกเขาคงคิดกันไปต่างๆนานา
ทันใดนั้นมีมวลชนคนหนึ่งพรวดพลาดเข้ามารายงานว่า
เห็นตชด.กลุ่มหนึ่งเดินมุ่งหน้าเข้ามาลาดตระเวนหาข่าวในหมู่บ้าน
“จะแก้ไขสถานการณ์กันอย่างไร”
ข่าวนี้ทำเอาสหายประเสริฐที่ติดตามมาด้วยเดินพล่านไปทั่วห้อง ส่วนสหายหมอทวียังคงทำหน้าที่ด้วยความสงบนิ่ง ปากบอกให้ทุกคนใจเย็นๆ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ส่วนในใจเขาคิดถึงแผนรับมือไว้หลายแนวทาง
สักพักหนึ่ง สามีคนไข้ คือ นายวิเชียร หาสีเสียด ลุกพลัน รีบออกไปแก้ปัญหาสถานการณ์ที่รออยู่ข้างนอก แกหายไปพักใหญ่ก่อนที่จะกลับเข้ามาอีกครั้ง ในตอนนั้น ภรรยาของแกได้รับน้ำเกลือฉีดเข้าเส้นแล้ว จึงมีสายระโยงระยางอยู่ที่แขนข้างซ้าย
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง หลังจากให้น้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำ คนไข้เริ่มรู้สึกตัว แต่ยังคงยังคงนอนนิ่ง เขาตัดสินใจแทงเข็มรักษาตามหลักการแพทย์แผนจีนโบราณ (acupuncture) เขาเลือกเข็มฝัง 2 เล่ม ปักเข็มลงไปที่จุดบริเวณขอบเล็บหัวนิ้วโป้งเท้าทั้งสองข้าง เรียกชื่อว่าจุดไท้ไป๋หรือหวนเที่ยวไม่แน่ใจ จากนั้นจึงเริ่มการกระตุ้นด้วยมือ ปั่นเป็นจังหวะติดๆกันและผ่อนเป็นพักๆ โดยใช้นิ้วมือทั้งสองข้าง
เพียงแค่เขากระตุ้นเข็มด้วยมือไปสองสามรอบเท่านั้น แม่เริ่มรู้สึกตัว มดลูกเริ่มแข็งเกร็งขึ้นเป็นพักๆถี่ขึ้นกว่าเดิม ลมเบ่งตามธรรมชาติเริ่มกลับมา เขาผละจากเข็มที่ยังคงคาอยู่อย่างนั้น หันไปคลำที่หน้าท้อง ดูปฏิกิริยาของมดลูกเป็นระยะ
ในสภาพนั้น
เขาไม่มีถุงมือใดๆทั้งสิ้นที่จะใช้ทำคลอด เมื่อล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดตามสภาพแล้ว จึงลงมือตรวจคลำปากมดลูกด้วยมือเปล่า เพื่อประเมินความก้าวหน้าของกระบวนการคลอด เมื่อพบว่าปากมดลูกขยายกว่าเดิมและเริ่มมีความบางมากแล้ว จึงเริ่มส่งเสียงเชียร์ให้แม่เบ่งท้องคลอดให้แรงขึ้น
ในที่สุดเพียงแค่สองสามนาทีเท่านั้น หัวเด็กก็โผล่ออกมา เขาประคองและออกแรงดึงช่วยแต่เพียงเล็กน้อย เมื่อตัวเด็กออกมาจนพ้นทางแล้ว เขาจับข้อเท้าทารกขึ้นด้วยมือขวาข้างเดียว
ปล่อยหัวเด็กห้อยลง ส่งร้องเสียงจ้า เขาจึงมั่นใจว่าทุกอย่างประสบความสำเร็จอย่างที่คาดคิดทุกประการแล้ว ปากจึงพึมพำเรื่อยเปื่อย ด้วยความเอ็นดูเจ้าตัวน้อย
“เป็นลูกชายเสียด้วย”
บรรยากาศในห้อง เปลี่ยนจากความเงียบกลายเป็นเสียงฮือฮาๆ และเสียงหัวเราะพูดคุยกันอย่างมีความสุข เมื่อตัดสายสะดือแล้วและส่งเด็กให้หมอตำแยพื้นบ้าน นำไปอาบน้ำชำระคราบไคล เขาทำการช่วยคลอดรก ต่อไปตามขั้นตอน อย่างง่ายดาย และนวดคลึงมดลูก ช่วยให้รัดตัว เพื่อหยุดภาวะการเสียเลือดหลังคลอด
หมอทวีอยู่คุยกับคนไข้และญาติพี่น้องอีกสักพักใหญ่ๆ สองสหายก็ลาจากมวลชนกลับขึ้นสู่ที่พักแรมตีนภูอย่างรวดเร็ว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในวันรุ่งขึ้น
แกนนำมวลชนเข้ามารายงานตั้งแต่เช้าตรู่
พวกเขาบอกว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ได้ทำให้ชาวบ้านร่ำลือปากต่อปาก
…”เหมือนมีเทวดามาช่วยชีวิตนางจ่อม”
…”ดูซิ ขนาดว่าตายไปแล้ว ยังไปเอาชีวิตกลับคืนมาได้”
18 ธันวาคม พ.ศ. 2559
นางจ่อม หาสีเสียด อายุ 64 ปีและนายวิเชียร หาสีเสียด 69 ปี รอคอยต้อนรับหมอทวีและภรรยา ผู้เป็นแขกไปเยี่ยมหมู่บ้านบ่อทองอีกครั้ง สองผัวเมียมีสีหน้ายิ้มแย้ม ทั้งสองฝ่ายต่างมีความสุขปรากฏในแววตา และในบรรยากาศการสนทนา
นางจ่อมเอ่ยว่า
“เสียดาย ลูกฉันมันออกไปตัดอ้อยตั้งแต่เช้า”
“ไม่ทันได้เห็นหน้าคุณหมอ คนที่ช่วยชีวิตเราในคราวนั้น”
“เคยเห็นกันแต่ในทีวีจ้ะ”
…….
แกตั้งชื่อลูกชายคนนั้นว่า “ดช.จันทร์เพ็ญ หาสีเสียด”
ชื่อแปลกเหมือนผู้หญิง เพราะวันที่มันเกิด เป็นคืนวันเพ็ญและเป็นวันจันทร์พอดี แต่ชื่อเล่นที่ชาวบ้านเรียกกัน คือ “ยาว” วันนี้เขาอายุ 38 เคยผ่านการเป็นทหารเกณฑ์มาแล้ว
แต่งงานมีครอบครัวและยังคงอยู่กับพ่อแม่ ที่บ้านหลังนี้
“ตอนนั้น…ฉันไม่รู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไรเลย
ไม่แม้แต่เห็นหน้าคุณหมอที่ช่วยชีวิตไว้ในวันนั้น
ตามองอะไรไม่เห็น มีแต่แสงริบหรี่ที่อยู่แสนไกล
ฉันมารู้สึกตัวอีกที ก็รู้สึกท้องวาบๆ
เอามือคลำที่หน้าท้อง
มันโล่งไปหมด”
“สิ่งที่จำได้ในตอนนั้น
ได้ยินแว่วเสียงคุณหมอทวีพูดกับลูกชายอย่างอารมณ์ดีว่า เป็นลูกชายเสียด้วย เกิดมาทำให้แม่ลำบาก เอาโยนทิ้งเสียดีไหม”
ฝ่ายนายวิเชียร เสริมว่า “วันนั้น ตอนที่ผมผุนผลันรีบออกบ้านไปนั้น
ตั้งใจไปดักพวกตชด.เอาไว้ เพื่อเป็นการถ่วงเวลา โชคดีเดินสวนออกไปตามทางในหมู่บ้าน ก็เจอะเข้ากับกลุ่มพวกนั้นพอดี”
“เสียงเอิ้นถามผมมาว่า ….มีพวกผกค.มาแถวนี้บ้างไหม ผมจึงตอบไปว่า…ไม่มีหรอกครับนาย แต่ในใจเต้นสั่นเป็นเจ้าเข้า แล้วแสร้งเบี่ยงทิศทางของพวกนั้นให้หันไปทางอื่นเสีย
จึงหมดปัญหาไป”
“เมื่อกลับมาถึงบ้าน ตอนนั้นทุกคนพากันคิดว่านางจ่อมตายแล้ว แต่คุณหมอจับชีพจรที่ข้อมือแล้วบอกกับพวกเราว่า ยังไม่ตาย ในใจพวกเราทุกคนก็ยังไม่มีใครมีความหวังใดอื่นเลย
…ชาวบ้านจึงพูดกันว่านางจ่อมรอด เพราะเทวดาแท้ๆ
…เทวดามาช่วยดึงชีวิตแม่ลูกกลับมา”
เกือบสี่สิบปีผ่านไป นั่น คือ สมญานามที่ชาวบ้านป่าแห่งเรียกขานสหายทปท.คนหนึ่ง
ว่าเป็น “หมอเทวดา” และเสียงเล่าลือนั้นได้แพร่กระจายออกไปทั่วเขตจรยุทธ์
ในที่สุด หมอทวีเพิ่งได้ประจักษ์รับรู้ว่า มันเกิดจากอารมณ์ความรู้สึกร่วมของมวลชน
ที่เฝ้าสังเกตนิสัยใจคอ ท่าทีท่วงทำนอง และการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนของสหายผู้นั้น ด้วยความทึ่งและประทับอยู่ในใจ.
เกือบสี่สิบปีผ่านไป เมื่อหมอ คนไข้และผู้ร่วมเหตุการณ์ครั้งนั้นมาเจอกันอีกครั้ง


