โดย นพ.พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา, 23 มกราคม 2020
นโยบายของจีนไม่ใช้วิธีการแก้ปัญหาความยากจนแบบเหวี่ยงแห-หว่านโปรย คือ ไม่ใช้วิธีเหมือนกัน
เสียงปรามาสและวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงดูหมิ่นถิ่นแคลนจีนคอมมิวนิสต์ ที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาความยากจนคงซาลงไปมาก เมื่อสหประชาชาติออกมาให้การยอมรับว่าในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา (ค.ศ.1978-2017) มีชาวจีนมากกว่า 740 ล้านคนสามารถหลุดพ้นจากความยากจนไปได้เรียบร้อยแล้ว
ธนาคารโลกได้กำหนดเส้นความยากจนอยู่ที่การมีรายได้เฉลี่ยวันละ 1.9 ดอลล่าร์หรือ 13.4 หยวน ส่วนจีนตั้งมาตรฐานความยากจนของรัฐบาลเอาไว้ที่ 7.67 หยวน โดยมุ่งหน้าแก้ปัญหาและพัฒนาตามแนวทางของตนอย่างมุมานะ
ในขณะนักวิชาการและเอ็นจีโอในหลายประเทศยังคงถกเถียงเรื่องคำจำกัดความกันไม่จบ ว่าอย่างไรจึงเรียกว่าจน อย่างไรไม่ใช่ ฝ่ายหนึ่งว่าความยากจนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง อีกฝ่ายว่าเป็นปัญหาในเชิงปัจเจก รัฐบาลก็ละล้าละลัง ไม่มั่นใจ ไม่ลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจังเสียที ความยากจนจึงถูกนำไปใช้เป็นประเด็นทางการเมืองสำหรับการหาเสียง สร้างประชานิยมกันแบบฉาบฉวย
มีคนกล่าวสรุปความเห็นที่น่ารับฟังเอาไว้ว่า การที่จีนต้องแก้ปัญหาความยากจนให้ได้ เป็นเพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนตระหนักดีว่าตนเกิดขึ้นและเข้าสู่อำนาจได้ก็เพราะคนยากจน ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ในที่สุดความยากจนนี่แหละจะเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเสียเอง
กล่าวกันว่าในปีที่ประเทศได้รับการปลดปล่อย (ค.ศ.1949) จีนมีประชากรประมาณ 900 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นคนยากจนในสัดส่วนที่สูงมากถึงร้อยละ 97 จีนได้เริ่มแผนพัฒนาประเทศ(แผน 5 ปี)ก่อนเรา 1 แผน ในเวลานี้ของเขาอยู่ในช่วงแผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 13 ซึ่งเมื่อตอนเริ่มต้นแผนฉบับนี้ จีนมีคนยากจนอยู่ประมาณ 80 ล้านคน บัดนี้มาถึงช่วงปลายแผนแล้ว จีนเหลือคนยากจนเพียงแค่ 6 ล้านคนเท่านั้น
ความฝันที่ยิ่งใหญ่ของคนจีนภายใต้การนำพาของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน( ค.ศ. 2020) ปัญหาความยากจนจะหมดไปจากประเทศ จีนจะเป็นสังคม“เสี่ยวคัง” คือคนจีนอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า และเมื่อครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งประเทศ (ค.ศ. 2050) สาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างแท้จริง
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2562 คณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำของวุฒิสภา นำโดยสังศิต พิริยะรังสรรค์, วีระศักดิ์ โค้วสุรัตน์, ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ, พลเดช ปิ่นประทีป และคำนูญ สิทธิสมาน ได้เข้าเยี่ยมคารวะและขอคำแนะนำการทำงานจากท่านองคมนตรี นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ซึ่งทราบว่าท่านได้พาคณะไปศึกษาดูงานแก้ปัญหาความยากจนของจีนมาแล้วหลายรอบและนี่ก็เพิ่งจะกลับมา ท่านจึงได้กรุณาเล่าถึงวิธีการแก้ปัญหาความยากจนของจีนอย่างออกรสออกชาติ
ท่านบอกว่า จีนเขามีนโยบายที่เข้มแข็งจริงจัง เป็นเอกภาพ ปฏิบัตินิยมและมีความต่อเนื่องในทุกเรื่อง ซึ่งคงหมายรวมทั้งการแก้ความยากจน ทุจริตคอร์รัปชั่น และปัญหาสิ่งแวดล้อม กล่าวคือทั้งพรรคและรัฐบาลต่างเอาจริง มีการตั้งสภาแห่งชาติขึ้นมาดูแลการแก้ปัญหาความยากจน
หลักคิดประการหนึ่งคือ จีนเดินแนวทางใช้การเกษตรในการแก้ปัญหาความยากจนของประชาชน เขาใช้การอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเพื่อการแข่งขันกับประเทศอื่น และที่สำคัญต้องมีจุดยืนที่จะต้องมารับใช้การเกษตรเพื่อแก้ปัญหาความยากจนในประเทศด้วย
เขาใช้คำว่า”บรรเทาปัญหาความยากจน” (Alleviation) แทนการ “ขจัดปัญหา” (Eradication) เริ่มจากเอาสถานการณ์ที่เป็นจริงในพื้นที่เป็นตัวตั้ง ไม่แก้ปัญหาด้วยการท่องตำราฝรั่งและหมดเวลาไปกับการถกเถียงโดยไม่ลงมือทำ
นโยบายของจีนไม่ใช้วิธีการแก้ปัญหาความยากจนแบบเหวี่ยงแห-หว่านโปรย คือไม่ใช้วิธีเหมือนกัน ให้งบประมาณเท่าๆกัน ไม่ต้องกลัวถูกหาว่าลำเอียง
เขามุ่งที่จะให้การช่วยเหลือคนจนแบบแม่นยำ ตรงจุด ตรงกลุ่ม แต่เขาก็ไม่แก้ปัญหาแบบปัจเจกชนรายคน เขาเน้นไปที่การจัดให้มีพี่เลี้ยงไปช่วยแก้ปัญหาเป็นราย “ครัวเรือน” และราย “ชุมชน” ช่วยดูแลกันจนตลอดรอดฝั่ง
ในระดับครัวเรือน หมายถึงสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดเป็นหน่วยปฏบัติการ แต่ละคนมีศักยภาพ มีความรู้มีทักษะประสบการณ์ชำนาญในเรื่องใด มีที่ดินกี่โหม่ว คุณภาพเป็นอย่างไร หรือมีทรัพยากรสิ่งใดก็จะถูกนำมาสู่การวิเคราะห์เป็นฐานทุนของแก้ปัญหา โดยตั้งเป้าหมายมาตรฐานขั้นต่ำของครอบครัวที่จะพ้นความยากจนไว้ที่ปัจจัย 5 อย่าง ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และงานอาชีพ
ในระดับชุมชน หมายถึงกลุ่มสมาชิกในชุมชนท้องถิ่นที่อยู่ใกล้ชิดติดกัน เขาตั้งเป้าหมายพื้นฐานขั้นต่ำของชุมชนเกษตรกรรมใน 5 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
1) การมีทรัพยากรที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ถ้าดินเสื่อมสภาพก็เป็นหน้าที่ที่จะต้องนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเข้าไปช่วยฟื้นฟูสภาพดิน ไม่ปล่อยให้เกษตรกรต้องอยู่ตามยถากรรม
2) การมีทรัพยากรน้ำตลอดทั้งปี ที่ไหนไม่มีเจ้าหน้าที่ก็ต้องหาหนทางแก้ไขให้ชาวบ้านจนได้
3) ต้องตัดสินใจให้ได้อย่างมั่นใจว่าจะปลูกอะไร จะเลี้ยงอะไร เพื่อการเดินหน้า
4) มีความรู้ในเรื่องที่จะปลูกหรือที่จะเลี้ยง ถ้าไม่มีต้องช่วยกันหาความรู้ให้เพียงพอ
5) ต้องรู้ว่าตลาดอยู่ที่ไหน ต้องมั่นใจว่าขายได้ ไม่ไปตายเอาดาบหน้า
จีนมีนโยบายให้สมาชิกพรรค เจ้าหน้าที่รัฐ และอาสามัครแต่ละคนลงไปช่วยชาวบ้านที่ยากจนแบบประกบเป็นรายครัวเรือน ให้ภาควิชาในมหาวิทยาลัยต่างๆลงไปเกาะติดฝังตัวในชุมชน มีออฟฟิศมีผู้จัดการรับผิดชอบช่วยเหลือชุมชนยากจนแบบ 1 ภาควิชา 1 ชุมชน ทั้งหมดนี้ทำงานแบบจิตอาสา มีประมาณ 2 ล้านคน
เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าจะปลูกอะไร เลี้ยงอะไรบนฐานทรัพยากรของครอบครัวและชุมชน เจ้าหน้าที่และอาสามัครยังต้องช่วยชาวบ้านทำแบบแผนธุรกิจ(business model)และทำโครงการเสนอขอทุนสนับสนุนจากรัฐบาลโดยตรง ไม่ปล่อยให้ชาวบ้านต้องงมโข่งเขียนโครงการกันเองและตากหน้าไปขอสินเชื่อจากธนาคารเอาเอง
กล่าวกันว่ารัฐบาลได้จัดสรรกองทุนออกเป็นหลายประเภท เพื่อรองรับโครงการที่หลากหลาย ซึ่งปรากฏว่ามีแฟ้มโครงการแก้ปัญหาความยากจนทั้งในระดับครัวเรือนและระดับชุมชน รวมทั้งสิ้น 89 ล้านโครงการ
เมื่อได้ฟังท่านองคมนตรีเล่าเรื่องราวการแก้ปัญหาความยากจนจากเมืองจีน แม้เพียงช่วงสั้นๆก็ได้แง่คิดที่เป็นประโยชน์หลายประการ ที่สำคัญทำให้ผมนึกถึงนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาที่ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า
“จะจัดตั้งสำนักงานบูรณาการเพื่อแก้ปัญหาความยากจนขึ้นมาเป็นการเฉพาะ และจะตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคม (Social Investment Fund – SIF) ขึ้นมาเป็นเครื่องมือแก้ปัญหา”
แต่ทว่าเสียงนั้นยังเงียบหายไปในสายลม เล่นเอาสมาชิกวุฒิสภาหลายท่านเริ่มทวงถามกันบ้างประปราย
เชื่อว่าอีกไม่นานเรื่องนี้คงมีการตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีกันกลางสภาแน่ครับ .
ขอบคุณภาพหน้าปกจาก nationweekend.com