“หมอพลเดชแนะใช้รูปแบบกองทุน SIF ฟื้นฟูสังคมภายหลังสงครามโควิด”
การระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิดไวรัส ได้เคลื่อนออกจากเมืองจีนด้วยเหยื่อผู้ป่วยหลักแสน ย้ายศูนย์ไปที่ยุโรป จนบัดนี้มีผู้ป่วยเป็นหลักล้าน และดูเหมือนว่าสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดที่หนักที่สุด ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงเมื่อไร
ระบบเศรษฐกิจของโลก อุตสาหกรรมที่กระทบมากที่สุดและมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าที่สุดไม่ต่ำกว่า 2 ปี คือการท่องเที่ยวและสายการบินที่ต้องพึ่งพาตลาดข้ามประเทศ ส่วนอุตสาหกรรมด้านเสื้อผ้า ยานยนต์ พลังงาน อาจจะฟื้นตัวก่อน
องค์การแรงงานโลก (ILO) คาดว่า มีแรงงานทั่วโลกประมาณ 2,640 ล้านคน (ร้อยละ 80 ของแรงงานทั้งหมด) ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดใหญ่ของโควิดไวรัส สาเหตุมาจากนายจ้างหยุดกิจการและมาตรการล็อคดาวน์ของภาครัฐ
ประเทศไทยมีจำนวนผู้มีงานทำทั้งสิ้น 38.3 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ 21.2 ล้านคน หรือร้อยละ 55.3 ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่มีหลักประกันสังคมใดๆและรายได้ค่อนข้างน้อย ถ้าเป็นจริงตามการคาดการณ์นี้ คงจะมีแรงงานผู้ได้รับผลกระทบอยู่ราว 30 ล้านคน
จึงมีข้อเสนอให้นำ บทเรียนรู้โครงการกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคม (SIF) ในยุควิกฤติต้มยำกุ้งมาปรับใช้ อาจเรียกว่าโครงการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสังคม-เศรษฐกิจฐานราก ขับเคลื่อนพลังสังคมและชุมชนท้องถิ่นฐาน ดูแลผู้รับผลกระทบทางสังคมจากวิกฤติครั้งนี้
หลักการทำงาน
หลักการทำงานของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสังคม-เสริมเศรษฐกิจฐานราก มี 7 ประการ ได้แก่
- หลักบูรณาการการลงทุนทางสังคมและการเสริมสร้างระบบตาข่ายนิรภัยสังคม
- หลักการสร้างผู้ประกอบการและวิสาหกิจระดับชุมชนท้องถิ่น พัฒนาคน และองค์กรชุมชนตามศักยภาพ
- หลักการแบ่งปันทรัพยากร เอื้อเฟื้อเกื้อกูล เสริมสร้างเครือข่ายสวัสดิการชุมชนครอบคลุมทุกพื้นที่
- หลักการพึ่งตนเอง สร้างความเข้มแข็งมั่นคงของชุมชน องค์กรชุมชนเป็นแกนหลักในการพัฒนา
- หลักการความร่วมมือหลายฝ่าย (พหุภาคี) แลกเปลี่ยนเรียนรู้และปรับตัวเท่าทันสถานการณ์
- หลักการบูรณาการฐานทุนชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น และเทคโนโลยีที่เหมาะสม
- หลักการความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และนโยบายของรัฐบาล
กรอบแผนงานสำหรับกองทุน
ในเบื้องต้น มี 7 แผนงาน (Menu)
1) สร้างความมั่นคงด้านข้าวปลาอาหารในระดับชุมชนท้องถิ่น
ความมั่นคงด้านอาหารเป็นความสำคัญสูงสุดในภาวะสงครามยืดเยื้อ โชคดีที่ประเทศไทยอยู่ในเขตทรอปิคอล มีความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารและจุลินทรีย์ที่อยู่ในธรรมชาติ สามารถรองรับการกลับมาของแรงงานในเมืองได้ไม่ยาก ถ้ามีระบบการจัดการที่ดี
แผนงานนี้มุ่งสนับสนุนกระบวนการของชุมชนท้องถิ่นทุกหมู่บ้าน-ตำบล ให้มีแผนความมั่นคงด้านข้าวปลาอาหาร ต้องรู้ว่าใน 1-2 ปีข้างหน้า ชุมชนของตนต้องบริโภคข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช โปรตีนสัตว์ ฯลฯ จำนวนเท่าไร สามารถผลิตเองได้เท่าไร ต้องนำเข้าจากภายนอกเท่าไร จากที่ไหน อย่างไร นำไปสู่การดำเนินงานและบริหารจัดการร่วมกันของคนทั้งชุมชน
2) สร้างความมั่นคงด้านน้ำการเกษตรขนาดเล็ก
น้ำ คือ ชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ การแก้ภัยแล้งอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมุ่งไปที่การจัดการแหล่งน้ำขนาดเล็กที่ประชาชนเป็นผู้ดำเนินการเองได้ มีรูปแบบที่หลากหลายไปตามสภาพภูมิประเทศและภูมิปัญญาพื้นถิ่น
แผนงานมุ่งสนับสนุนโครงการจัดการน้ำของชุมชน อาทิ โคกหนองนา ฝายมีชีวิต ธนาคารน้ำใต้ดิน รวมทั้งรูปแบบโอเอซิสชุมชนที่กำลังนิยมกันมากในภาคอีสาน ใช้พลังงานแสงอาทิตย์สูบน้ำตลอดทั้งวันจากบาดาลบ่อตื้น สร้างเป็นระบบน้ำผิวดินแบบโอเอซิส
3) สร้างความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน
มุ่งสร้างความสามารถในการพึ่งตนเองด้านพลังงานทางเลือก อาทิ แก็สชุมชนจากถ่านชีวภาพและชีวมวล น้ำมันเชื้อเพลิงชุมชนจากขยะพลาสติค ไฟฟ้าชุมชนจากแหล่งพลังงานผสมผสาน
4) สนับสนุนพลังหนุ่มสาวคืนถิ่น
แรงงานคนหนุ่มสาวที่คืนถิ่น รวมทั้งนักเรียนนักศึกษาและบัณฑิตที่ตกงาน ในคราวนี้จะแตกต่างจากยุควิกฤติปี 2540 เพราะพวกเขาจะมาพร้อมกับทักษะชีวิตและวิธีคิดของยุคดิจิทัล แผนงานนี้มุ่งสนับสนุนกิจการและผู้ประกอบการด้าน Smart Farming, Smart SME-SE, ดิจิทัลชุมชน, ท่องเที่ยวชุมชน ฯลฯ เพื่อวางรากฐานระบบเศรษฐกิจฐานรากในยุคใหม่ ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
5) ส่งเสริมโรงงานอุตสาหกรรมชุมชน
ในสงครามโรคระบาดคราวนี้ทำให้เราได้บทเรียนรู้สำคัญ การผลิตหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ รวมทั้งเวชภัณฑ์ป้องกันโรคที่ใช้ในชุมชนและในโรงพยาบาล มีหลายสิ่งอย่างที่เราสามารถผลิตเองได้ ทั้งเพื่อการใช้เองและสร้างเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น
6) สนับสนุนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลเป็นศูนย์เรียนรู้
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 9 แห่ง ที่กระจายอยู่ตามภูมิภาค มีฐานทุนทางบุคลากร ทรัพยากรและพื้นที่ประกอบภารกิจที่สมบูรณ์ ควรได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้เป็นศูนย์เรียนรู้และฝึกอบรมด้านเกษตรแบบพอเพียง Smart Farming ท่องเที่ยวเกษตร-สุขภาพ และพลังงานชุมชน เป็นฐานทางวิชาการ เชื่อมโยงกับเครือข่ายวิทยาลัยอาชีวะ และวิทยาลัยชุมชน สนับสนุนการฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจฐานรากในเชิงพื้นที่
7) รณรงค์ไทยเที่ยวไทย
การท่องเที่ยวที่มุ่งรองรับชาวต่างชาติเคยทำให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่ฟู่ฟ่า บัดนี้การฟื้นตัวคงต้องใช้เวลามากกว่า 2-3 ปี การรณรงค์ไทยเที่ยวไทยจึงมีความสำคัญต่อการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและกระจายรายได้ไปสู่ประชาชนทุกภูมิภาคและชุมชนท้องถิ่น ไทยกิน ไทยใช้ ไทยผลิต ทำให้ไทยแข็งแรง
เกียรติภูมิของประเทศไทยในสมรภูมิโรคโควิดคราวนี้ จะนำพานักท่องเที่ยวต่างชาติให้หวนกลับมาอีกอย่างแน่นอน เราจะต้อนรับพวกเขาเหล่านั้น ด้วยวิถีความเป็นไทย ที่สมาร์ทกว่าเดิม.
นายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา
สถาบันพัฒนาประชาสังคม, 10 เมษายน 2563