ถึง เครือข่ายผู้นำองค์กรชุมชน ภาคประชาสังคมและเครือข่ายท้องถิ่น-ท้องที่วิถีใหม่ ทุกจังหวัด

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2564 ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยคำร้องคดีการปราศรัยของแกนนำชุมนุม “ม็อบ3สิงหา เสกคาถาปกป้องประชาธิปไตย” และ “ม็อบ 10 สิงหา ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” มีคำวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานล้มล้างการปกครองตามคำร้อง และมีคำสั่งผูกพันในอนาคตว่า ต่อจากนี้การชุมนุมทางการเมืองที่กล่าวถึงการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์จะถือว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มีการระบุหลักการสำคัญไว้ในหลายตอน เช่น
“ประวัติศาสตร์การปกครองของไทย อำนาจการปกครองเป็นของพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด นับตั้งแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา ตลอดจนกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์มีพระราชภารกิจสำคัญยิ่งเพื่อรักษาความอยู่รอดของบ้านเมืองและประชาชน…ทำนองเดียวกับประเทศต่าง ๆ ที่มีความเป็นมาของชาติแตกต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือเอกลักษณ์ หรือสัญลักษณ์”
“ด้วยความผูกพันของปวงชนชาวไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีมาหลายร้อยปี พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขจึงได้รับความยินยอมจากปวงชนชาวไทยให้ทรงใช้อำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล”
“สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นเสาหลักสำคัญที่จะขาดเสียไม่ได้ ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นการกระทำใดๆที่มีเจตนาเพื่อทำลาย หรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลายไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีการพูด เขียนหรือการกระทำต่างๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่าหรือทำให้อ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์”
“ ระบอบประชาธิปไตยมีหลักการสำคัญ 3 ประการ 1. เสรีภาพหมายถึงทุกคนมีสิทธิ์คิด พูดและทำอะไรก็ตามที่ไม่มีกฎหมายห้าม 2. เสมอภาค คือทุกคนมีความเท่าเทียมกัน 3. ภราดรภาพ หมายถึงคนทั้งหลายมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันฉันท์พี่น้อง มีความสามัคคีกัน”
“การใช้สิทธิเสรีภาพของผู้ถูกร้องทั้งสามไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย …เป็นการอ้างสิทธิเสรีภาพเพียงอย่างเดียว ไม่ได้คำนึงถึงหลักความเสมอภาค ภราดรภาพ”
ในด้านปฏิกิริยา กลุ่มจำเลยและสมัครพรรคพวกยังคงแสดงการขัดขืน ไม่ยอมรับ กล่าวให้ร้ายโจมตีคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญตามคาด ขณะที่ฝ่ายผู้ร้องคดีนี้และนักการเมืองอีกหลายส่วน ประกาศว่าจะเดินหน้าเอาผิดพรรคการเมืองและนักการเมืองฝ่ายจำเลยในคดีกบฏล้มล้างนี้ต่อไป การเมืองข้างบนจึงเต็มไปด้วยสงครามทำลายล้างที่ร้อนรุ่ม
การเลือกตั้ง อบต. 5,300 แห่งในสองสัปดาห์ข้างหน้า จึงเป็นภารกิจของพวกเราทุกคน ทุกเครือข่าย ทุกพื้นที่ ต้องช่วยกันดูแลไม่ให้หลุดเข้าไปสู่วิถีการเมืองในแบบนั้น ยิ่งข้างบนเป็นการเมืองบ่อนทำลาย การเมืองข้างล่างยิ่งต้องสร้างสรรค์ เพื่อทดแทนและปรับสมดุล
1. เป็นอิสระจากพรรคการเมืองข้างบน
การเมืองระดับชาติกำลังโคม่าเหมือนโควิดลงปอด พรรคการเมืองต่างติดเชื้อบ่อนทำลายกันไปเยอะ จนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร พวกนั้นจ้องที่จะเจาะท้องถิ่นและ อบต. ไว้เป็นลูกมือและฐานเสียง ในสถานการณ์เช่นนี้จึงต้องช่วยกันดำรงความเป็นอิสระและรักษาระยะห่างจากโควิดการเมืองข้างบนกันอย่างสุดฤทธิ์
2. สามัคคีเป็นปึกแผ่นกับประชาชน
บัดนี้หมดยุคที่จะแหงนหน้าขึ้นข้างบนและเลียนแบบการเมืองระดับชาติแล้ว ผู้นำและผู้บริหารท้องถิ่นต้องหันหน้าลงมาหาประชาชนผู้เลือกตน สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ ให้ชุมชนรักสามัคคีเป็นปึกแผ่น เพื่อเป็นรากฐานที่แข็งแรงของประเทศชาติ
3. สร้างการเมืองสุจริต ทำบุญให้ประเทศ
ประเทศชาติบอบช้ำมามากแล้ว จนศาลท่านต้องวินิจฉัยเพื่อให้สติ การเมืองทุจริตแตกแยกข้างบนนั้นแก้ได้ยาก แต่การเมืองสุจริตในท้องถิ่นเล็กๆของเราทำได้ง่ายกว่า แม้ในอดีตบางคนอาจเคยทำเรื่องไม่ดีและผิดพลาดมาก่อน วันนี้มาร่วมกันสร้างการเมืองเชิงศีลธรรม ทำบุญครั้งใหญ่ให้กับประเทศครับ.
นายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป
สมาชิกวุฒิสภา / 13 พฤศจิกายน 2564