ในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 มีข้อเสนอร่างแก้ไข พรป.ว่าด้วยพรรคการเมืองฯเข้าสู่การพิจารณา รวม 6 ฉบับ
ได้แก่ 1.คณะรัฐมนตรี 2. ทวี สอดส่อง 3.ชลน่าน ศรีแก้ว 4.วิเชียร ชวลิต 5.พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 6. อนันต์ ผลอำนวย

ในร่างของรัฐบาลและฝ่ายพรรคร่วม เน้นเฉพาะมาตราที่จะให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่แก้ไขใหม่ ส่วนร่างของพรรคฝ่ายค้านได้ถือโอกาสพ่วงประเด็นแอบแฝงเข้ามามากมาย จนทำท่าจะ “เลยธง”
ในที่สุด เสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นชอบรับหลักการในวาระที่ 1 เฉพาะของฝ่ายรัฐบาลทั้ง 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 4 และ 6 ส่วนที่เหลือไม่ผ่านความเห็นชอบ
สาระสำคัญที่เสนอแก้ไขเพิ่มเติมในคราวนี้ มี 11 ประเด็น บางส่วนตกไปแล้วเพราะไม่ผ่านหลักการในวาระที่ 1 แต่ก็ต้องเฝ้าระวังมิให้หลุดลอดสายตาในชั้นกรรมาธิการอีก ได้แก่
1.ค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรค
พรรคฝ่ายค้านเสนอลดอัตราค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงที่เรียกเก็บจากสมาชิกพรรคการเมือง( 100 บาท/ปี 2,000 บาทตลอดชีพ)
2.ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด
ให้สำนักงานตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดทำหน้าที่ โดยไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลื่องตั้งสาขาพรรคประจำเขต
3.จำนวนสมาชิกขั้นต่ำและสาขาพรรค
ให้ยกเลิกเงื่อนไขจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองขั้นต่ำ 5,000 คน และบังคับให้ขยายเป็น 10,000 คนภายใน 4 ปี รวมทั้งการตั้งสาขาพรรคการเมืองครบทุกภาค
4.การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ให้ยกเลิกเงื่อนไขบังคับพรรคการเมืองที่จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง
5.การสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ยกเลิกระบบการเลือกตั้งขั้นต้น โดยให้ใช้วิธีการรับฟังความคิดเห็นเสนอแนะจากสมาชิกพรรคในเขตเท่านั้นเป็นพอ
6.การสรรหาผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ
ให้แก้ไขเพิ่มเติมวิธีการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. ดังนี้
1)ให้ระบุชัดเจนว่า ผู้มีสิทธิเสนอรายชื่อ ได้แก่ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หัวหน้าสาขาพรรคการเมือง และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด
2)ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเปลี่ยนจากจำนวนไม่เกิน 150 รายชื่อ เป็นไม่เกิน 100 รายชื่อ
3) สมาชิกพรรคการเมืองสามารถลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับการสรรหาได้ไม่เกิน 10 รายชื่อ
7.ความเท่าเทียม
การส่งผู้สมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ ให้คำนึงถึง“ความเท่าเทียมระหว่างเพศ” และความหลากหลายทางเพศ
8.ข้อห้ามในการดำเนินการสรรหาผู้สมัคร
ยกเลิกข้อห้ามในการดำเนินการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ
9.การจัดสรรเงินสนับสนุนพรรค
ให้จัดสรรเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ตามจำนวนสมาชิกพรรคการเมือง
10.อำนาจในการยุบพรรคการเมือง
ให้ยกเลิกอำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมือง และการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง
11.บทกำหนดโทษ
ให้ยกเลิกบทกำหนดโทษการฝ่าฝืนข้อห้ามในการดำเนินการสรรหาผู้สมัคร สส. แบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ
นอกจากรัฐสภาลงมติเห็นชอบรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองทั้ง 3 ฉบับแล้ว ยังมีปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้น เมื่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาลงมติเห็นชอบให้ใช้ร่าง พรป.ฉบับของนายวิเชียร ชวลิตกับคณะ เป็นหลักในการพิจารณาในวาระที่ 2 ด้วยคะแนนเสียง 309 / 141 แทนที่จะใช้ร่างของ ครม.เป็นหลักกันตามปกติ
มติยังได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ เป็นผู้พิจารณาควบคู่กันไป กำหนดแปรญัตติภายใน 15 วัน
น่าสังเกตุว่า การแก้ไขเพิ่มเติม พรป.ว่าด้วยพรรคการเมืองฯ ตามที่เสนอกันมา รวมทั้งที่อภิปรายกันมีการแตกประเด็นออกไปอีกมาก ทั้งๆที่จุดเริ่มต้นของการแก้ไขเพิ่มเติม พรป.ในครั้งนี้ มาจากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 83 86 และ 91 ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยน สัดส่วน สส.เขต/บัญชีรายชื่อ จาก 350/150 เป็น 400/100 และเปลี่ยนระบบบัตรลงคะแนนจากใบเดียวเป็นระบบบัตรสองใบ เท่านั้น
อาจกล่าวได้ว่า ประเด็นที่เสนอเข้ามาส่วนใหญ่เป็นลักษณะที่ “อาศัยโดยสาร” เข้ามากันมากมาย จนดูจะเกินขอบเขตดังกล่าวไปไกล ดังนั้นถ้าหากว่ากรรมาธิการหรือรัฐสภาเกิดใช้เสียงข้างมากลากไปจนถึงขั้น “เลยธง” ดังกล่าว ก็เป็นไปได้ที่จะมีกลุ่มประชาชน องค์กร หรือสถาบันที่เกี่ยวข้อง ทำการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
จึงควรที่สังคมจะได้ช่วยกันจับตาและติดตาม อย่างรู้เท่าทัน.
นพ.พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา / 4 เม.ย. 2565