นโยบายรัฐ แก้จนลดเหลื่อมล้ำ | รายงานประชาชน โดย ส.ว.พลเดช (ฉบับที่ 162)

1.นิยามความยากจน

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)   

“ความยากจน เป็นความขัดสนทางเศรษฐกิจ รวมถึงขาดศักยภาพในการดำรงชีวิต ขาดการศึกษา ขาดทรัพยากร ขาดที่ดินทำกิน ขาดการร่วมกลุ่มและการมีส่วนร่วมทางการเมือง ขาดข้อมูล ข่าวสารความรู้ในการประกอบอาชีพ ไม่สามารถเข้าถึงบริการ และความช่วยเหลือของภาครัฐได้ รวมทั้งการมีภาระพึ่งพิงสูง”

นิยามในระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP – Thai People Map and Analytics Platform) 

“คนจน คือ ผู้ที่มีคุณภาพชีวิตต่ำกว่าเกณฑ์คุณภาพชีวิตที่ดีในมิติต่าง ๆ ซึ่งพิจารณาจาก 5 มิติ ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา ด้านการเงิน ด้านความเป็นอยู่ และด้านการเข้าถึงบริการรัฐ”

สำหรับคนจนในภาคการเกษตร สังศิต พิริยะรังสรรค์

ให้นิยามความหมายและขอบเขตเพื่อการปฏิบัติงาน ได้แก่

1) เกษตรกรที่อาศัยทำกินอยู่นอกเขตชลประทาน ที่ต้องพึ่งพาน้ำฝนเพื่อการเกษตร ซึ่งทำให้สามารถทำการเกษตรได้ปีละหนึ่งครั้ง ส่วนเวลาที่เหลือในรอบปีอาจผันตัวเองไปเป็นแรงงานรับจ้างในภาคการเกษตรหรือนอกภาคการเกษตร

2) เกษตรกรที่ไร้ที่ดินทำกินและดำรงชีพด้วยการรับจ้างตลอดทั้งปี

3) เกษตรกรที่ไร้ที่ดินทำกินหรือมีพื้นที่ดินทำกินขนาดเล็กมากจนไม่สามารถดำรงชีวิตได้ จึงบุกรุกเข้าไปทำกินในพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ของทางราชการอย่างผิดกฎหมาย

2.นโยบายรัฐแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ

มาตรการและโครงการที่ประเทศไทยได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาความยากจน ช่วยเหลือผู้ประสบปัญในด้านเศรษฐกิจ พอสรุปได้ ดังนี้  

  1. การส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจมหภาคให้เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาความยากจน เช่น การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็งและยั่งยืน การส่งเสริมเศรษฐกิจในอาชีพเกษตรกรรม การเพิ่มรายจ่ายภาครัฐในการจัดบริการพื้นฐานทางสังคมแก่คนจน และผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น
  2. การเพิ่มศักยภาพและโอกาสของคนจน เช่น การเปิดเวทีประชาคมท้องถิ่น การขยายเครือข่ายและศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน การถ่ายทอดความรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน การปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเหมาะสม เป็นต้น 
  3. การพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมและผู้ด้อยโอกาส เช่น การขยายขอบเขตการประกันสังคมและการมีสวัสดิการให้ครอบคลุมผู้ยากจนและผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น  
  4. สวัสดิการโดยชุมชน เช่น การเตรียมความพร้อมในการสร้างหลักประกันทางสังคมแก่ประชากรแต่ละช่วงวัย โดยเน้นวัยชราเป็นสำคัญ 
  5. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การจัดระบบของการเกษตร การประมง อย่างมีวิธีการเป็นระเบียบ 
  6. การปรับปรุงระบบบริหารภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน เช่น 

–  การปรับกระบวนทัศน์และบทบาทหน่วยงานภาครัฐทั้งหน่วยงานส่วนกลางและระดับท้องถิ่น

–  การจัดทำแผนงาน/โครงการที่มีลักษณะเป็นองค์รวม ปรับปรุงระบบงบประมาณ

–  การจัดทำโครงการต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงปัญหาความยากจน  โดยมีรูปแบบโครงการลดความยากจนในอดีต เช่น โครงการสร้างงานในชนบท โครงการพัฒนาตำบลกองทุนพัฒนาชนบท โครงการแก้ไขปัญหาความยากจน (กข.คจ.) โครงการพัฒนาคนจนในเมือง โครงการเสริมสร้างการแก้ไขปัญหาคนจนในเมืองในภาวะวิกฤต โครงการแก้ไขปัญหาด้านการเงินและสินเชื่อสำหรับคนจนในเมือง โครงการลงทุนเพื่อสังคม SIP (Social Investment Project) โครงการกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคม SIF (Social Investment Fund)  เป็นต้น   

ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579)

เพื่อยุติความยากจนในทุกมิติอย่างบูรณาการ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติการแก้ปัญหาความยากจนสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน รัฐบาลในปัจจุบันได้มีความพยายามในการแก้ปัญหาความยากจนผ่านโครงการฯ ต่าง ๆ ดังนี้  

  • โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง  
  • โครงการการพักชำระหนี้และลดภาระหนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยเป็นเวลา 3 ปี  
  • โครงการธนาคารประชาชน  
  • โครงการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ OTOP  
  • โครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนพิการ  บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  
  • การช่วยเหลือค่าเลี้ยงดู 600 บาท/เดือน บุตรแรกเกิด – 6 ปี   
  • โครงการไทยนิยมยั่งยืน  โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวนวัตวิถีชุมชนท้องถิ่น  
  • โครงการ “เจ็บป่วยฉุกเฉิน วิกฤตมีสิทธิทุกที่” (Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP)

ข้อจำกัดที่จำเป็นต้องทบทวน

อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการต่างๆ ข้างต้น ยังพบว่ามีข้อจำกัดที่จำเป็นต้องทบทวน แก้ไขเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้แก่ 

การดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐที่ผ่านมายังมีจุดบกพร่องที่รัฐบาล ต้องแก้ไข

เพื่อให้ฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยมีความถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบันมากยิ่งขึ้น คือ ยังคงมีคนไม่จนจริงผ่านเกณฑ์คุณสมบัติเข้ามา และยังมีคนจนจริงไม่ได้มาลงทะเบียน จนเป็นที่มาของโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลจากระบบการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform: TPMAP) ซึ่งจะช่วยระบุปัญหาความยากจนในระดับบุคคล ครัวเรือน ชุมชน ท้องถิ่น จังหวัด และประเทศได้ ทำให้สามารถออกแบบนโยบายโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาได้ ตรงจุด และตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น 

– โครงการไทยนิยมยั่งยืน แม้ว่าทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตำบล จะได้ลงพื้นที่ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน จัดทำประชาคม เพื่อให้ประชาชนทุกพื้นที่เข้าร่วมสะท้อนประเด็นปัญหา ค้นหาความต้องการของประชาชน เพื่อนำไปสู่การจัดทำโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชน ซึ่งสามารถสร้างความตื่นตัวให้กับพื้นที่ได้ในช่วงแรก หากแต่ระยะเวลาที่จำกัด และกระบวนการร่วมคิดร่วมทำที่ค่อนข้างไม่สมบูรณ์ จึงทำให้การทำกิจกรรมนั้นเสร็จสิ้นตามโครงการแต่ไม่เกิดผลสำเร็จ และไม่ส่งผลต่อความยั่งยืน จึงเป็นบทเรียนในคราวต่อไป.

โดย ส.ว.พลเดช ปิ่นประทีป, 19 ธ.ค. 2565

รายงานประชาชน โดย ส.ว.พลเดช (ฉบับที่ 162)