พุ่งเป้าขจัดพื้นที่อำเภอยากจนและด้อยโอกาส | รายงานประชาชน โดย ส.ว.พลเดช (ฉบับที่ 166)

คณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนฯ วุฒิสภา ขอนำเสนอแนวทางนโยบายในการพุ่งเป้าขจัดพื้นที่อำเภอยากจนและด้อยโอกาส ด้วยระบบงบประมาณแบบ Block Grantเพื่อการพิจารณาของรัฐบาล พรรคการเมือง และสาธารณชน ดังนี้ 

1. เป้าหมาย

พุ่งเป้าแก้ปัญหาอำเภอด้อยโอกาสและความขัดแย้งยืดเยื้อเรื่องที่ดินทำกิน ในพื้นที่ 13 จังหวัดยากจน  และแก้ปัญหาแล้งซ้ำซากของพื้นที่ 300 อำเภอใน 37 จังหวัด ภาคเหนือและอีสานให้ได้โดยพื้นฐาน

2. พื้นที่ยากจนและด้อยโอกาส

จากเกณฑ์เส้นความยากจนของประเทศไทย (รายได้เฉลี่ย/หัวประชากร ต่ำกว่า 88.90 บาท/วัน)  ข้อมูลระหว่างปี 2550-2562  มีจังหวัดยากจนเรื้อรัง

ในกลุ่มที่ 1 ติดอันดับ 13 ครั้ง ในรอบ 13 ปี มี 4 จังหวัด ได้แก่ ปัตตานี แม่ฮ่องสอน ตาก กาฬสินธุ์  กลุ่มที่ 2 ติดอันดับ 5-12 ครั้ง ในรอบ 13 ปี มี 6 จังหวัด ได้แก่ นราธิวาส บุรีรัมย์ นครพนม ศรีสะเกษ สระแก้ว และชัยนาท  และกลุ่มที่ 3 ติดอันดับ 3  ครั้ง ในรอบ 13 ปี  มีจำนวน 3 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง น่าน ยะลา รวมทั้งสิ้น 13 จังหวัด (168 อำเภอ )

พื้นที่ยากจนเหล่านี้นับเป็นพื้นที่ “ด้อยโอกาส” กล่าวคือขาดโอกาสในการพัฒนาตามกระบวนการปกติ จึงถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลัง ถือเป็นความยากจนในเชิงโครงสร้างประการหนึ่ง ดังนั้นในการแก้ปัญหาแบบพุ่งเป้าจึงควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มพิเศษและโครงการพัฒนาที่มีลักษณะเฉพาะ พุ่งเป้าลงสู่พื้นที่เหล่านี้

ตาราง แสดงข้อมูลพื้นที่จังหวัดยากจนและด้อยโอกาส (พ.ศ. 2564)

จังหวัดอำเภอ(แห่ง)ตำบล(แห่ง)หมู่บ้าน(แห่ง)เทศบาลเมือง(แห่ง)เทศบาลตำบล(แห่ง)อบต.(แห่ง)อบจ.(แห่ง)ประชากร(คน)
1. ปัตตานี12115642115981709,796
2. แม่ฮ่องสอน74541516421242,742
3. ตาก9634931+1(ทน.)17491676,583
4. กาฬสินธุ์181351,584277711975,570
5. นราธิวาส1377589313721809,660
6. บุรีรัมย์231892,21236014511,579,805
7. นครพนม12991,130121811717,040
8. ศรีสะเกษ222062,55723419211,457,556
9. สระแก้ว959731313491561,992
10. ชัยนาท853503138201320,432
11. พัทลุง1165670148241522,541
12. น่าน1599893118801475,875
13. พะเยา968779233361464,505
รวม1681,27313,19822(+1)393959139,514,097

3. พื้นที่แล้งซ้ำซาก

ปี 2560-2561 มีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งด้านการเกษตร 23 จังหวัด 74 อำเภอ จำแนกเป็น ภาคเหนือ 8 จังหวัด 23 อำเภอ, ภาคกลาง 4 จังหวัด 14 อำเภอ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 9 จังหวัด 28 อำเภอ, ภาคตะวันตก 1 จังหวัด 4 อำเภอ

ปี 2563  มีจังหวัดที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) 14 จังหวัด รวม 69 อำเภอ 420 ตำบล 3,785 หมู่บ้าน ชุมชน

ภาคเหนือ 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน เพชรบูรณ์ และอุตรดิตถ์ รวม 22 อำเภอ 125 ตำบล 965 หมู่บ้าน 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ได้แก่ นครพนม มหาสารคาม บึงกาฬ หนองคาย บุรีรัมย์ กาฬสินธุ์ และนครราชสีมา รวม 31 อำเภอ 215 ตำบล 2,151 หมู่บ้าน 20 ชุมชน

ภาคกลาง 3 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา และอุทัยธานี รวม 16 อำเภอ 80 ตำบล 649 หมู่บ้าน

จากสถิติข้อมูลการเฝ้าระวังพื้นที่ภัยแล้งในระดับตำบลทั่วประเทศของกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในระยะเวลา 10 ปี (2553 – 2562)  สามารถระบุ พื้นที่แล้งซ้ำซาก”  แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่

1. รุนแรงมาก  อำเภอที่มีตำบลแล้งซ้ำซากมากกว่า 6 ครั้งในรอบ 10 ปี จำนวน 330 อำเภอ

2. รุนแรงปานกลาง  อำเภอที่มีตำบลแล้งซ้ำซาก 4-5 ครั้งในรอบ 10 ปี จำนวน 562 อำเภอ

3.รุนแรงน้อย  เป็นอำเภอส่วนที่เหลือ มีตำบลแล้งซ้ำซากไม่เกิน 3 ครั้ง ในรอบ 10 ปี  ซึ่งมีรายละเอียด ดังตาราง

ตารางสรุป ข้อมูลพื้นที่เฝ้าระวังและพื้นที่แล้งซ้ำซาก ปี 2562

(หมายเหตุ ข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดิน http://irw101.ldd.go.th) สรุปจัดทำโดย พลเดช ปิ่นประทีป

ภาคจังหวัดอำเภอเฝ้าระวังแล้ง เกิน 6 ครั้งใน 10  ปี (อำเภอ)จำนวนพื้นที่ (ไร่)แล้ง 4-5 ครั้งใน 10 ปี (อำเภอ)จำนวนพื้นที่ (ไร่)
เหนือ17193135986,7441772,722,681
อีสาน203211651,583,76230114,827,644
กลาง/กทม.19142 (+50 เขต)2547,19363852,764
ตะวันออก74652,36519161,563
ใต้1411621,863
รวม77818 (+50 เขต)3302,620,06456218,566,515

กล่าวโดยสรุป พื้นที่แล้งซ้ำซากระดับรุนแรง เฉพาะในภาคเหนือ 17 จังหวัด 135 อำเภอ และภาคอีสาน 20 จังหวัด 165 อำเภอ คิดเป็นพื้นที่รวมประมาณ 2,570,506 ไร่

พื้นที่เหล่านี้สามารถแก้ปัญหาด้วยภูมิปัญญาและทุนทางสังคม  อาจเรียกรวมๆว่า  “กระบวนการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กโดยชุมชน”   โดยภาครัฐสามารถหนุนเสริมกระบวนการดังกล่าวด้วยงบประมาณแบบ “Block Grants”  จัดสรรผ่านจังหวัดเป้าหมายเพื่อกระจายลงไปยังอำเภอที่แล้งซ้ำซากแบบพุ่งเป้า มอบหมายให้นายอำเภอและคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) เป็นกลไกดำเนินงานแบบบูรณาการ

4. พื้นที่ขัดแย้งที่ดินทำกินยืดเยื้อ

ยังมีพื้นที่ยากจนอีกประเภทหนึ่ง  เป็นพื้นที่ที่มีจุดขัดแย้งเรื้อรังด้านที่ดินทำกินของชาวบ้าน  รอคอยการปฏิรูปการจัดการปัญหาการใช้ประโยชน์จากที่ดินและการอนุรักษ์ป่า-เพิ่มพื้นที่สีเขียว ทั้งระบบ

ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560  และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี  กำหนดให้มีการกระจายการถือครองที่ดินและการเข้าถึงทรัพยากร โดยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างเขตพื้นที่ป่าทับซ้อนพื้นที่ทำกินของประชาชน รับรองสิทธิชุมชนในการเข้าใช้ประโยชน์ที่ดิน กำหนดมาตรการเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์อย่างเป็นธรรมและกระจายการถือครองที่ดินในขนาดที่เหมาะสมต่อการประกอบอาชีพ

รัฐบาลพลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา  ได้จัดให้มีกลไกคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และออกพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562  จัดที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้แก่ราษฎรที่อยู่อาศัยทำกินในที่ดินของรัฐที่เสื่อมโทรมและหมดสภาพแล้ว ในลักษณะ “แปลงรวมชุมชน” 

การดำเนินการของ คทช. เริ่มต้นตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2558 จนถึงปัจจุบัน คณะอนุกรรมการจัดหาที่ดินส่งพื้นที่เป้าหมายให้คณะอนุกรรมการจัดที่ดิน 552 พื้นที่ 70 จังหวัด สามารถดำเนินการจัดคนลงในพื้นที่ได้ 275 พื้นที่ 65 จังหวัด จำนวน 57,105 ราย 70,542 แปลง เนื้อที่ 384,065 ไร่ และส่งต่อให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด 229 พื้นที่ 63 จังหวัด จำนวน 46,525 ราย 58,273 แปลง เนื้อที่ 306,203 ไร่

การดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 คณะอนุกรรมการจัดที่ดินรับมอบพื้นที่จากคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน จำนวน 114 พื้นที่ 28 จังหวัด ดำเนินการจัดคนลงในพื้นที่ได้ 111 พื้นที่ 33 จังหวัด จำนวน 16,608 ราย 19,721 แปลง เนื้อที่ 114,443 ไร่  และส่งต่อให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด 54 พื้นที่ 22 จังหวัด จำนวน 6,705 ราย 8,226 แปลง เนื้อที่ 44,736 ไร่ 

ในเรื่องการจัดการพื้นที่ขัดแย้งยือเยื้อเหล่านี้ มีกลไกอนุกรรมการ คทช.ระดับจังหวัดและคณะทำงานในพื้นที่ ตลอดจนมีเครื่องมือดำเนินงานเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว  

ขอเพียงมีงบประมาณสนับสนุนกระบวนการทำงานอย่างเพียงพอ ก็จะสามารถแก้ปัญหาแบบพุ่งเป้าให้ประชาชนในพื้นที่อำเภอที่มีปัญหาเหล่านี้ได้ตามกำหนดและทันต่อสถานการณ์

5. ตัวชี้วัด

1) ทุกหมู่บ้าน-ชุมชนที่มีข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินของคนจน มีการจัดการปัญหาได้แล้วเสร็จ เป็นที่พึ่งพอใจของชาวบ้าน

2) ทุกครัวเรือน-ทุกหมู่บ้านในพื้นที่ มีกระแสไฟฟ้าและน้ำสะอาดใช้

3) ทุกตำบลในพื้นที่เป้าหมาย มีแหล่งน้ำการเกษตรขนาดเล็กใช้อย่างเพียงพอ ครอบคลุม และสามารถหลุดพ้นจากปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก

โดย ส.ว.พลเดช ปิ่นประทีป, 16 ม.ค. 2566

รายงานประชาชน โดย ส.ว.พลเดช (ฉบับที่ 166)