รายงานประชาชน โดยหมอพลเดช ฉบับที่ 22/2567
ข้อมูลเบื้องต้นที่คณะประชุมทวิภาคีได้รับจากสถานเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงเฮลซิงกิ ก่อนออกเดินทางเมื่อตอนต้นปี ทำให้รับทราบประเด็นที่น่าสนใจว่า สาธารณรัฐฟินแลนด์เป็นประเทศในกลุ่มยุโรปเหนือ
ที่มีขนาดเพียง 3.3 แสนตารางกิโลเมตร ประชากร 5.6 ล้านคน กระจายตัวตั้งถิ่นฐานอยู่กับธรรมชาติอย่างไม่แออัด มีระบบเศรษฐกิจมั่นคง ระบบการศึกษามีมาตรฐานที่ทั่วโลกยกย่อง เทคโนโลยีการสื่อสารก้าวหน้า เป็นประเทศผู้บุกเบิกเทคโนโลยีควันตัม และได้รับการประเมินว่ามีความสุขที่สุดของโลกติดต่อกันมาถึง 7 ปี
ฟินแลนด์มีระบบการปกครองแบบรัฐสภา เป็นรัฐสภาเดี่ยว ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ทำหน้าที่เป็นประมุขและรับผิดชอบนโยบายการต่างประเทศ วาระดำรงตำแหน่ง 6 ปี ไม่สามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระ ส่วนนายกรัฐมนตรีมาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและเสียงข้างมากในรัฐสภา โดยไม่จำกัดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งบริหารประเทศ
รัฐสภาของฟินแลนด์ มีสมาชิกจำนวน 200 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ชุดปัจจุบันมีสุภาพสตรี ร้อยละ 46 (92 คน) ซึ่งอยู่ในสัดส่วนที่สูงมาก ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและรับเลือกตั้งใช้เกณฑ์เดียวกัน คืออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์
รัฐสภาฟินแลนด์เป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของประเทศ มีหน้าที่หลักสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ การพิจารณาและตรากฎหมาย การอนุมัติงบประมาณของรัฐ การให้สัตยาบรรณสนธิสัญญาระหว่างประเทศ และการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
รายได้ประชาชาติต่อหัว 54,510 USD อุตสาหกรรมหลัก คือ อุตสาหกรรมเครื่องมือสื่อสาร ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร เคมีภัณฑ์ การต่อเรือ กระดาษ ไม้สน และอาหาร ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญได้แก่ อาหาร ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์คมนาคม เหล็ก เครื่องจักร และสิ่งทอ
ฟินแลนด์เป็นคู่ค้าอันดับที่ 55 ของไทย ในขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของฟินแลนด์ รองจากมาเลเซีย ในปี 2566 มีชาวฟินแลนด์เดินทางมาประเทศไทย 76,000 คน มีคนไทยอาศัยในฟินด์แลนด์ 10,000 คน ร้านอาหารไทย 30 ร้าน วัดไทย 2 แห่ง ธุรกิจไทยที่มีศักยภาพในฟินแลนด์ คือ กลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูป ผักและผลไม้กระป๋อง ซอสปรุงรสของไทยเป็นที่นิยมมาก รวมทั้งนวดแผนไทยเป็นธุรกิจที่โดดเด่นทำรายได้สูง
ปัจจุบัน ฟินแลนด์มีนโยบายมุ่งผลักดันเทคโนโลยีควอนตัม ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่ากับประเทศไทยควรจะมีความร่วมมืออย่างไรได้บ้าง
บทบาทความสำคัญของควอนตัม คือการพัฒนาการวัด คำนวณ ประมวลผล จัดส่งและเก็บรักษาข้อมูลจากเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และเครื่องมือทางการแพทย์
นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 เทคโนโลยีควอนตัมถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง นักวิทยาศาสตร์คาดหวังว่าควอนตัมจะเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก (Disruptive technology) ต่อจากยุคเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจะนำไปสู่โอกาสและข้อจำกัด ความได้เปรียบเสียเปรียบทางเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศได้
VTT Technical Research Centre of Finland (VTT) เป็นชื่อสถาบันวิจัยของประเทศที่มีพันธกิจและภารกิจการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของฟินแลนด์ ให้บริการและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและนวัตกรรมแก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนเปิดโอกาสให้นักวิจัยในฟินแลนด์และภูมิภาคยุโรปมีความร่วมมือกัน รวมทั้งภาคเอกชนด้วย โดยที่ผ่านมาหลายประเทศในยุโรปรวมถึงสหรัฐอเมริกาได้มีความร่วมมือด้านควอนตัมกับฟินแลนด์โดยผ่านทางสถาบันแห่งนี้
เมื่อปี 2564 สถาบัน VTT ได้สร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่มีชื่อว่า HELMI และได้เชื่อมต่อกับซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ LUMI ของสถาบัน CSC ในเมือง Espoo นับเป็นการทดลองผสมผสานเข้าด้วยกันเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ได้พัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมขนาด 5 คิวบิต รวมทั้งมีแผนพัฒนาไปให้ถึงขนาด 20 คิวบิต และ 50 คิวบิต ในปี 2567 ทั้งด้านพัฒนาอัลกอริธึม ซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ และประเมินความเหมาะสมในการแก้ปัญหาการคำนวณเชิงปฏิบัติ
เทคโนโลยีควอนตัมสามารถนำไปใช้ประโยชน์ภายในประเทศในด้านต่างๆ อาทิ ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ทั้งข้อมูลการทหาร ยุทธศาสตร์ชาติ ปกป้องข้อมูลทางธุรกิจ ข้อมูลส่วนบุคคลด้วยรหัสผ่านเชิงควอนตัม ไม่สามารถโจรกรรมได้ ประเทศที่สามารถเข้าถึงและมีเทคโนโลยีใหม่ก่อนย่อมได้เปรียบในการแข่งขัน
ควอนตัมยังนำมาใช้ในการผลิตเครื่องมือแพทย์ วิจัยด้านโรคภัยไข้เจ็บและคิดค้นยา ด้านคมนาคมช่วยแก้ปัญหาการจราจร การบริหารจัดการน้ำและอากาศ โลจิสติกส์ การศึกษาเรียนรู้ พัฒนาทักษะกระบวนการคิดผู้เรียนเชื่อมโยงกับมาตรฐานโลก คิดค้นสูตรปุ๋ย พัฒนานวัตกรรมให้โลกปลอดการใช้ฟอสซิล และบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก ฯลฯ.
วันที่ 9 ก.ย. 2567
